ผลการวิจัยล่าสุดชี้การควบคุมระดับความดันโลหิตช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มผู้ป่วยวัย 80 ปีขึ้นไปได้อย่างมีนัยสำคัญ

01 Apr 2008

ผลการวิจัยล่าสุดที่ได้มีการนำเสนอที่มหาวิทยาลัยอเมริกัน คอลเลจ คาร์ดิโอโลจี ในนครชิคาโก และได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ในนิวอิงแลนด์ระบุว่า การควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับต่ำในกลุ่มผู้สูงอายุอาจช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ 1 ใน 5 และลดอัตราการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจได้ 1 ใน 3

ผู้ป่วยสูงอายุ(HYVET)ที่มีระดับความดันโลหิตสูงจำนวน 3,845 รายที่เข้ารับการทดสอบภายใต้ความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เป็นการทดลองทางการแพทย์ครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อตรวจหาผลกระทบของภาวะความดันโลหิตต่ำในผู้ป่วยวัย 80 ปีขึ้นไป โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับการรักษาทั้งการใช้ยาหลอก (ยาที่มีผลทางจิตใจแต่ไม่มีฤทธิ์ในการรักษาทางยา หรือ placebo) และการใช้ยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ(SR) ในปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม พร้อมเสริมด้วยการให้ยา perindopril เพื่อยับยั้งเชื้อ ACE วันละ 1 เม็ด

ผลการวิจัยระบุว่า ข้อดีของการรักษาดังกล่าวสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ร้อยละ 21 (p=0.02) และลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันได้ร้อยละ 39 (p=0.05) ลดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ร้อยละ 64 (p<0.001) รวมถึงลดอุบัติการหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ร้อยละ 34 (p<0.001) ซึ่งจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนหลังจากที่มีการติดตามผลการรักษาภายใน 1 ปีแรก

ภาพรวมของอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงเป็นผลการศึกษาที่มีขึ้นใหม่และไม่คาดคิดมาก่อน โดยผลการศึกษาในก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่า การลดระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 80 ปีสามารถลดอุบัติการของภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันและหลอดเลือดหัวใจได้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษากลุ่มผู้ป่วยจำนวนน้อยกว่าในก่อนหน้านี้ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดระบุว่า ระดับความดันโลหิตที่ลดลงในผู้ป่วยวัย 80 ปีขึ้นไปที่ช่วยลดอัตราการเกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันนั้น แท้จริงแล้ว ไม่ได้ช่วยลดอัตราการเกิดภาวะดังกล่าว แต่ในทางกลับกันผู้ป่วยดังกล่าวกลับมีแนวโน้มของการเกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันและเสียชีวิตในท้ายที่สุด

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 การทดลองดังกล่าวได้พิจารณาถึงการแนะนำของข้อมูลฉบับหนึ่งที่จับตาผลการศึกษาหลังจากที่ได้สังเกตุเห็นถึงอัตราการเสียชีวิตและภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันที่ลดลงในผู้ป่วยที่ได้รับการรัษา ซึ่งผลลัพท์สุดท้ายของการทดลองในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันที่ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันที่ลดลง 30% ยังไม่เป็นไปตามตัวเลขสถิติที่ตั้งไว้ (p=0.06) ทั้งนี้ ผู้ป่วยวัย 80 ปีขึ้นไปมากกว่าครึ่งที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันเสียชีวิต ขณะที่ผลการศึกษาพบว่าอัตราการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันที่ไม่สามารถรักษาได้นั้นีจำนวนลดลง

ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ บูลพิทท์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะการวิจัยจากแผนกการบำบัดรักษากลุ่มผู้ป่วยสูงอายุประจำมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอนกล่าวว่า "ก่อนที่จะเริ่มทำการวิจัยครั้งนี้ แพทย์ต่างไม่มั่นใจว่าการควบคุมระดับความดันโลหิตในกลุ่มผู้ป่วยวัยสูงอายุที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจะได้ผลลัพท์ที่ดีเช่นเดียวกับกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่าหรือไม่ แต่ผลการวิจัยของเราได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผู้ป่วยที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มีผลการรักษาที่ดีมาก ซึ่งทำให้ประชากรกลุ่มดังกล่าวมีอายุยืนนานและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น ผลการศึกษานี้จึงนับเป็นข่าวดี และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจมีจำนวนลดลงขณะที่อัตราการเสียชีวิตก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน"

คณะนักวิจัยหวังว่า ผลการศึกษานี้จะช่วยให้ความกระจ่างกับคณะแพทย์ที่ไม่แน่มั่นใจถึงข้อดีของการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในกลุ่มผู้ป่วยวัย 80 ปีขึ้นไป

ดร.นิเกิล แบ็คเกตต์ เจ้าหน้าที่ประสานงานการศึกษาจากกลุ่มรักษาผู้ป่วยวัยสูงอายุจากวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน กล่าวเสริมว่า "ผู้ป่วยวัยสูงอายุจำนวนมากที่มีภาวะความดันโลหิตสูงต่างไม่ได้รับการรักษาในทันที เนื่องจากแพทย์ไม่มั่นใจว่าการรักษาจะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้หรือไม่ ซึ่งเราหวังว่าผลการศึกษาที่มีขึ้นนี้จะช่วยกระตุ้นให้แพทย์ดำเนินการรักษาผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวใด้ตามเจตนารมย์"


จากการทดลองที่หยุดชะงักไปในก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการทดลองเพิ่มเติมเพื่อทำการประเมินถึงข้อดีของการรักษาในระยะยาว


ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง (วัดจากความดันโลหิตสูงสุดที่เกิดขึ้นหลังระยะการบีบตัวของห้องหัวใจระหว่าง 160-199 mmHg) จาก 13 ประเทศทั่วโลกได้มีการสุ่มทดลองแบบ double-blind ซึ่งแพทย์และผู้ป่วยต่างไม่ทราบว่าคนใช้ยาอะไร รวมถึงการใช้ยาหลอกเป็นตัวควบคุม ซึ่งเริ่มในปี 2544 ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุ 83 ปี 7 เดือน

ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาหลอกและการให้ยาที่ฤทธิ์ด้านการขับปัสสาวะ(SR) และเสริมด้วยยา perindopril วันละ 1 เม็ดสามารถบรรลุเป้าหมายของความดันโลหิตที่ระดับ 150/80 mmHg ภายใต้การติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยที่ 2 ปีต่อครั้ง ทั้งนี้ 20% ของยาหลอกและ 48% ของผู้ที่เข้ารับการรักษามีระดับความดันโลหิตตามเป้าหมายที่ 150/80 mmHg และมีการติดตามผลในระยะเวลาที่นานกว่าพบว่า จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาดังกล่าวมีระดับความดันโลหิตตามเป้าหมายที่กำหนด

ผู้ป่วยสูงอายุ(HYVET)ที่มีระดับความดันโลหิตสูงเข้ารับการทดสอบภายใต้การดูแลของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ซึ่งทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากทั่วโลก ทั้งนี้ การวิจัยครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนหลักจากมูลนิธิโรคหัวใจของอังกฤษและเซอร์เวีย


หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:

1. เกี่ยวกับภาวะความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดสมองอุดตัน
-ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าภาวะหลอดเลือดในสมองอุดตันเป็นสาเหตุสำคัญอันดับสามที่นำไปสู่การเสียชีวิตในอังกฤษและเวลส์ จากข้อมูลในปีพ.ศ. 2547 พบว่าผู้เสียชีวิตร้อยละ 11 อยู่ในกลุ่มวัย 75-84 ปี และร้อยละ 14 ของผู้เสียชีวิตจากภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันอยู่ในวัย 85 ปีขึ้นไป
-ในสหราชอาณาจักร มีผู้ป่วยภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันราว 150,000 รายในแต่ละปี ซึ่งกล่าวได้ว่ามีผู้ที่มีภาวะดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1 คนในทุกๆ 4 นาที
-ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยเสียชีวิตจากภาวะหลอดเลือดอุดตันภายใน 6 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเดือนแรก
-การเป็นอัมพาตหลังเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกของการเกิดภาวะทุพลภาพที่ร้ายแรงในผู้ป่วยที่ใช้ชีวิตในบ้านของตัวเอง

โรคหลอดเลือดสมองอุดตันแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
ประเภทแรก ภาวะเลือดคั่งในสมอง (Haemorrhagic) เกิดจากการที่กระแสเลือดของหลอดเลือดภายในสมองรั่วไหลเข้าถึงเนื้อเยื่อบุสมอง
ประเภทที่สอง การอุดตันของเส้นโลหิตเลี้ยงสมอง (Ischaemic )เกิดจากภาวะที่เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มภายในหลอดเลือดและขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อสมองในเวลาต่อมา

ภาวะความดันโลหิตสูงได้เพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะหลอดเลือดรั่วหรือแตกได้ รวมถึงโอกาสในการที่เลือดจะจับตัวกันเป็นลิ่มในหลอดเลือด นอกจากนี้ ความดันโลหิตสูงยังทำให้มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นถึงความเสียหายในส่วนของหลอดเลือด ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดภายในหลอดเลือด

-ในผู้ป่วยที่อายุ 80 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในทั่วโลก ซึ่งในสหราชอาณาจักรนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 4 ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงกว่าร้อยละ 11 ภายในปี 2593

-ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบมีเพิ่มมากขึ้นตามอายุ รายงานบางฉบับบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของโรคดังกล่าวในกลุ่มผู้มีอายุ 55 ปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุกๆ 10 ปี

-ในสหราชอาณาจักร มีการใช้เงินร้อยละ 4 ของงบประมาณด้านการบริการทางสุขภาพแห่งชาติในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันในแต่ละปี

2. เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน

มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 5 ของโลกในการจัดอันดับ Higher Education Supplement University Rankings ประจำปี 2550 และเป็นสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงด้านการเรียนการสอนและการวิจัยซึ่งมีนักศึกษาจำนวน 12,000 คนและบุคลากรที่ทรงคุณวุฒิในระดับสากล 6,000 คน การวิจัยด้านนวัตกรรมใหม่ๆของสถาบันแห่งนี้ได้มีการบูรณาการทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ วิศวกรรมและธุรกิจที่มุ่งให้การแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ www.imperial.ac.uk

ทั้งนี้ ผลการวิจัยที่มีขึ้นล่าสุดนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายผ่านสื่อมวลชนในเมืองชิคาโก้ วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2551 เวลา 10.00 CDT / 16.00 BST รายละเอียดวิธีการติดต่อหรือรับชมการถ่ายทอดสดการอภิปรายดังกล่าวสามารถสอบถามได้จากแผนกสื่อสารมวลชนของ ACC


สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ:


ลอร่า กัลลาเฮอร์

เจ้าหน้าที่สื่อมวลชนสัมพันธ์อาวุโส

มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน

อีเมล์: [email protected]

โทรศัพท์: +44 (0)20 7594 6702 ต่อ 46702


ติดต่อเจ้าหน้าที่สื่อนอกเวลางาน:

โทรศัพท์ +44 (0)7803 886 248

www: www.imperial.ac.uk/press


แหล่งข่าว:มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน


ติดต่อ: ลอร่า กัลลาเฮอร์

เจ้าหน้าที่สื่อมวลชนสัมพันธ์อาวุโสประจำมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน

โทรศัพท์: +44 (0)20 7594 6702 ต่อ 46702 หรือ

+44 (0)7803 886 248


เว็บไซต์: http://www.imperial.ac.uk

http://www.imperial.ac.uk/press


--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net ) --

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit