กูรูทิสโก้แนะ จับตาปรากฏการณ์หุ้นเทคฯ จีน ราคาต่ำกว่า สหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี

02 Aug 2021

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ชี้ จับตาหุ้นเทคโนโลยีจีนหลังถูกเทขายจนมูลค่าต่ำกว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี รับข่าวทางการจีนใช้มาตรการแรงกับหุ้นสถาบันการศึกษา แต่คาดความเสี่ยงขาลงเริ่มจำกัด ชี้หุ้นเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ยังเป็นหุ้นหลบภัยในช่วงธนาคารกลางสหรัฐฯ ลด QE

กูรูทิสโก้แนะ จับตาปรากฏการณ์หุ้นเทคฯ จีน    ราคาต่ำกว่า สหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนได้ปรับตัวลดลงจนทำให้มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 10 ปี เพราะได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรง หลังทางการจีนใช้มาตรการที่เข้มงวดกับหุ้นกลุ่มสถาบันการศึกษาจนถึงขั้นอาจจะถอดหุ้นออกจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวถือว่ารุนแรงมากเมื่อเทียบกับในอดีตที่ทางการจีนมักจะสั่งปรับเงินเท่านั้น นักลงทุนจึงมองว่าหุ้นเทคโนโลยีจีนอาจจะมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

"ตลาดหุ้นจีนถูกเทขายอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา รับข่าวทางการจีนกำลังพิจารณาให้สถาบันกวดวิชาเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา และส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม มาตรการดังกล่าว อาจนำไปสู่การถอดถอนหุ้นกลุ่มสถาบันการศึกษาทั้งหมดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนับว่ามีความรุนแรงมาก จากเดิมที่ทางการจีนจะใช้วิธีสั่งปรับ เช่น กรณี Alibaba ที่พยายามผูกขาดตลาด หรือสั่งให้ถอด Didi ออกจาก App Store หลังพบว่ามีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานไม่ถูกต้อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างหนัก ซ้ำเติมแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีก่อน" นายคมศรกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถคาดการณ์มาตรการควบคุมกิจการที่อาจออกมาเพิ่มเติมได้ แต่เมื่อพิจารณา มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีจีน (Valuation) พบว่าอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของหุ้นเทคโนโลยีจีน ในดัชนี CSI300 ลดลงมาเทรดที่ระดับต่ำกว่าของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ใน ดัชนี S&P 500 โดยเทรดที่ระดับต่ำกว่าถึง 5% ซึ่งชี้ว่าหุ้นเทคโนโลจีนได้ปรับลดลงรับข่าวดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในช่วงที่เหลือของปี เหมือนกับหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เพราะทั้งสองกลุ่มเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูงและไม่ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีโอกาสปรับขึ้นได้จำกัด และมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากถูกกดดันจากนโนยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed )

"แม้นักลงทุนจะเริ่มคลายความกังวลเรื่อง Fed ส่งสัญญาณลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566 เพราะ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า กลับมาแพร่ระบาดทั่วโลกแม้กระทั่งประเทศที่มีความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีนไปมากแล้วอย่างอังกฤษ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจอย่างการจ้างงานในสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ตลาดเริ่มประเมินว่า Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป จนทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง แต่ในระยะยาวประเมินว่าความกังวลเรื่อง Fed ลด QE และขึ้นดอกเบี้ยจะกลับมาอีกครั้ง" นายคมศรกล่าว

นายคมศรกล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นน่าจะกลับมาให้น้ำหนักถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed จะมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่น่าจะควบคุมได้ โดยในอังกฤษซึ่งมีการประกาศยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมส่วนใหญ่ไปเมื่อวันที่ 19 ก.ค. (Freedom Day) ที่ผ่านมา กลับเริ่มเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจากจุดสูงสุดในปีนี้ที่ราว 5 หมื่นรายต่อวันในช่วงกลางเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ราว 2.5 หมื่นรายในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวกที่ชี้ว่าแผนการเปิดประเทศในกลุ่มประเทศที่มีความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีนไปมากแล้วยังสามารถดำเนินต่อไปได้ตามแผน
  2. การจ้างงานในสหรัฐฯ จะกลับมาเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3 โดยก่อนหน้านี้ตัวเลขการจ้างงานรายเดือนในสหรัฐฯ ดูค่อนข้างอ่อนแอ เนื่องจากถูกกดดันจากนโยบายการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษ ซึ่งจ่ายให้กับผู้ว่างงานในช่วงการระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้ว่างงานจำนวนมากยังไม่กลับมาทำงาน อย่างไรก็ดี สวัสดิการพิเศษดังกล่าวจะทยอยหมดอายุลงตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไป ซึ่งน่าจะทำให้ตัวเลขการจ้างงานกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาส 3
    และ 3. คณะกรรมการ Fed หลายท่านเริ่มแสดงความกังวลต่อเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านในสหรัฐฯ และเริ่มมีการเรียกร้องให้ Fed ยกเลิกการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยเร็ว

ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่ผ่อนคลายลงไป ประกอบกับการจ้างงานที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้น และความกังวลต่อเงินเฟ้อ จะทำให้ Fed เริ่มกลับมาส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น โดยคาดว่า Fed จะส่งสัญญาณถึงการลด QE ในช่วงไตรมาส 3 ให้ตลาดรับรู้ก่อนจะดำเนินการจริงในปีหน้า และยังจะย้ำว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566 ต่อไป