JKN โชว์ผลงาน 9 เดือน เติบโตสวนกระแสปัจจัยลบโควิด-19 ทำรายได้เพิ่มขึ้น 6% มองธุรกิจคอมเมิร์ชเริ่มสดใส รุกธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เจาะเข้า 7-Eleven

12 Nov 2021

'บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN' โชว์ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้ ทำรายได้รวม 1,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% รับกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ไตรมาส 3/2564 เริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซหลังเข้าบริหารช่อง JKN18 แม้กำไรสุทธิปรับตัวลดลงจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ด้านผู้บริหารมองโค้งสุดท้ายของปีนี้ กลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซจะทำสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น หลังขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทีวีดาวเทียม และ JKN Hi Shopping เพิ่มเติม พร้อมรุกผลักดันกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเข้าสู่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven หลังบรรยากาศการซื้อสินค้าสดใส มั่นใจเป้าทั้งปีเติบโต 10-15% ตามแผน

JKN โชว์ผลงาน 9 เดือน เติบโตสวนกระแสปัจจัยลบโควิด-19 ทำรายได้เพิ่มขึ้น 6%  มองธุรกิจคอมเมิร์ชเริ่มสดใส รุกธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เจาะเข้า 7-Eleven

คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,406 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้มีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดจากโควิด-19 ที่ส่งผลเศรษฐกิจชะลอตัว แต่กลุ่มธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ยังคงตอกย้ำความแข็งแกร่งที่ดี โดยมีอัตราการเติบโต 1.27% จากจุดแข็งของ JKN ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์คอนเทนต์แบบ Output Deal ที่มีลิขสิทธิ์คอนเทนต์แบรนด์ดังระดับโลก จึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มผู้ชมชาวไทยและภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกได้ในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งทีวีดาวเทียม ทีวีดิจิทัล และออนไลน์ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เริ่มทยอยการรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซในไตรมาส 3 ได้เต็มไตรมาส จึงส่งเสริมการเติบโตภาพรวมรายได้ในช่วงดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังได้รับแรงกดดันจากการมีค่าใช้จ่ายด้านการทำตลาดและการบริหารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่มีการขยายธุรกิจคอมเมิร์ซโดยการเข้าไปซื้อและบริหารช่องทีวีดิจิทัล JKN18 ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นวางรากฐานทางธุรกิจ เพื่อผลักดัน JKN ให้ก้าวสู่การเป็น Content Commerce Company ซึ่งถือเป็นช่วงลงทุนทำธุรกิจ แต่ยังสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 193 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถการดำเนินเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ไตรมาส 3/2564 แม้มีปัจจัยลบจากโควิด-19 ที่รุนแรง แต่บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในประเทศและต่างประเทศได้ต่อเนื่อง โดยขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น เช่น ประเทศอียิปต์และบรูไน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจคอนเทนต์เติบโต 11% ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ทำได้ 33 ล้านบาท มีปัจจัยหลักมาจากค่าใช้จ่ายด้านการขายและการทำตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven เพื่อสร้างโอกาสการเติบโต รับกับจังหวะการเปิดเมืองตามนโยบายของภาครัฐ

"แม้ปีนี้จะมีปัจจัยลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ JKN ยังคงรักษาอัตราการเติบโตของรายได้รวมได้อย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ที่เป็นสัดส่วนรายได้หลัก ตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม แม้กำไรสุทธิที่ปรับตัวลดลงนั้น เกิดจากการลงทุนในช่วงเริ่มต้นที่ต้องการสร้างธุรกิจคอมเมิร์ซให้มีความแข็งแกร่ง และจะเป็น S-Curve ใหม่ให้แก่ JKN ซึ่งมั่นใจว่า มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นต่อไปในอนาคต" คุณจักรพงษ์ กล่าว

ส่วนแผนดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 บริษัทฯ เตรียมรุกขยายธุรกิจคอมเมิร์ซอย่างเต็มที่ โดยมีการปรับผังรายการช่อง JKN18 เพื่อสร้างเรตติ้งให้ดีขึ้น จากปัจจุบันที่ปรับตัวมาอยู่ที่อันดับ 15 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าและสร้างโอกาสการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รองรับความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น โดยจะเร่งสื่อสารการตลาดและกระตุ้นการซื้อสินค้าผ่านช่องทาง JKN18 และ JKN Hi shopping ซึ่งมีฐานลูกค้ามากกว่า 1 ล้านราย พร้อมกับการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพทุกแบรนด์ เข้าสู่ช่องทางขายผ่านร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven เพิ่มเติม จากเดิมที่มีการจำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น โลตัสส์ และบิ๊กซี ซึ่งจะช่วยสร้างยอดขายจากกลุ่มธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น รวมถึง JKN มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารสกัดจากกัญชงในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ทันที หากได้รับการอนุญาตจากภาครัฐ จึงคาดว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซจะทำสัดส่วนรายได้ 3-5% ของรายได้รวม และช่วยสนับสนุนเป้าหมายปีนี้ของ JKN มีการเติบโต 10-15% ตามแผน