บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หวั่น Omicron สายพันธุ์ใหม่ Downside Risk ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย

30 Nov 2021

นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา WHO ประกาศให้ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron จัดอยู่ในกลุ่มที่น่ากังวล หรือ (Variants of Concern: VOC) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการแพร่เชื้อได้สูงขึ้น ติดเชื้อแล้วอาการรุนแรงมากขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่การตรวจวินิจฉัยการป้องกันดัวยวัคซีน และการรักษา อาจมีประสิทธิภาพลดลง ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่เข้ามาแบบกะทันหันและเหนือความคาดหมายของตลาด ส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง สินค้าโภคภัณฑ์ปรับฐานแรง

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หวั่น Omicron สายพันธุ์ใหม่ Downside Risk ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย

สถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุด พบผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์ Omicron แล้วกระจายไปในหลายประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย.) ประกอบไปด้วย แอฟริกาใต้ ฮ่องกง เยอรมนี อิสราเอล สหราชอาณาจักร อิตาลี เบลเยี่ยม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆหลังการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ในขณะที่ล่าสุด ศบค. มีมาตรการจำกัดการเดินทางจาก 8 ประเทศเสี่ยง ได้แก่ Botswana, Eswatini, Lesotho, Malawi, Mozambique, Namibia, South Africa, Zimbabwe และมีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับเพิ่มเติมในอนาคต

สำหรับความเสี่ยงการแพร่ระบาดที่เริ่มลุกลามมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทาง/ท่องเที่ยวระหว่างประเทศหลังการเริ่มเปิดประเทศทั่วโลกอาจต้องสะดุด และมีการกลับมาใช้มาตรการล็อคดาวน์รอบใหม่ ซึ่งหากพิจารณากลุ่มประเทศที่เริ่มพบการแพร่ระบาด จะเห็นว่าหลายประเทศ ถือเป็นลูกค้าหลักของภาคการท่องเที่ยวไทยในช่วงการเปิดประเทศรอบนี้ และในขณะเดียวกันกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศที่ไทยอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตามบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนก็อยู่ในขั้นตอนการทดสอบ/ทดลองประสิทธิภาพของวัคซีนถึงผลการต้านทานไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าว ขณะนี้ Moderna กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบวัคซีนกระตุ้นว่ามีประสิทธิภาพต้านทานมากเพียงใด ในขณะที่ AstraZeneca กำลังทำการวิจัยในประเทศ Botswana ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่พบสายพันธุ์ Omicron และ Pfizer คาดว่าจะใช้เวลาทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนประมาณ 2-3 สัปดาห์

หากประเมินภาพดัชนี SET Index เข้าสู่ช่วงแห่งความผันผวนในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างๆประเมินและทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงขายปรับพอร์ทอาจเกิดขึ้นในหุ้นกลุ่ม Domestics ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า บนความคาดหวังการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย นำโดยกลุ่มการเงิน (Financials) การท่องเที่ยว (Tourism) นอกจากนี้ความกังวลดังกล่าว อาจส่งผลกระทบเชิง sentiment ต่อ Demand การใช้พลังงาน กดดันราคาน้ำมันดิบและกลุ่มพลังงาน (Energy)

อย่างไรก็ตาม SET Index ที่ปรับฐานแรงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ไปแล้วพอสมควร และในเชิงกลยุทธ์ยังคงมุมมองระยะยาว เป้าหมายดัชนี ปี 2565 ที่ระดับ 1750 จุด (สมมติฐานกำไรตลาดฟื้นตัว +13% YoY สู่ระดับ 94.2 บาทต่อหุ้น และ อ้างอิง PE Ratio ที่ 18.6 เท่า เทียบเคียงกับระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปีของ SET + 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ดังนั้น ความผันผวนที่เกิดขึ้นจึงเป็นโอกาสตั้งรับสะสมหุ้นพื้นฐานเด่น ใน Theme "Hold to the Moon 2022"  (Top Picks: EA JMART JMT SCC SNNP TTB) โดยมีจุดตั้งรับสำคัญที่บริเวณ 1570 - 1600 จุด