'บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง' โชว์ฟอร์มเทรดวันแรกแกร่ง ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาฯ แนวราบ เตรียมรับดีมานด์ยุค New Normal ผุด 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

10 Feb 2022

'บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง' หรือ PEACE เดินหน้าเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบใหม่ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท รับดีมานด์การอยู่อาศัยยุค New Normal หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาแนวราบที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี พร้อมมุ่งมั่นสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนและเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

'บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง' โชว์ฟอร์มเทรดวันแรกแกร่ง ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาฯ แนวราบ เตรียมรับดีมานด์ยุค New Normal ผุด 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายเป็นวันแรก (10 กุมภาพันธ์ 2565) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อ 'PEACE' ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาแนวราบที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน จะช่วยสนับสนุนให้ PEACE เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของรายได้ขายเพิ่มเป็น 2 เท่าจากรายได้ขายในปี 2564 ภายใน 3 ปี (ปี 2567) และเติบโตเป็น 3 เท่า ภายใน 5 ปี (ปี 2569) โดยพิจารณาศักยภาพของทีมงานและบุคลากรของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและแผนธุรกิจที่จะเพิ่มในอนาคต โดยคำนวณถึงมูลค่าบ้านคงเหลือขายสำหรับโครงการในปัจจุบัน และมูลค่าบ้านที่จะเปิดจำหน่ายเพิ่มเติมสำหรับโครงการในอนาคตที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ประกอบกับแผนการจัดซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับร้อยละ 35 - 40 เช่นเดียวกับช่วงเวลา 10 ปี ที่ผ่านมาด้วย

"การตั้งเป้าหมายของเรา อยู่บนพื้นฐานการประเมินตามข้อมูลการดำเนินงานและศักยภาพของบริษัทฯ ในปัจจุบัน และผลการดำเนินงานในอดีต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะเศรษฐกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ตามความผันผวนของต้นทุนในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น ค่าแรง หรือราคาวัสดุก่อสร้าง รวมถึงสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากศักยภาพในการบริหารงานที่ยาวนานกว่า 30 ปี และการที่ PEACE เป็นบริษัทอสังหาแนวราบขนาดกลาง นับว่ามีโอกาสในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต" นายประสพศักดิ์ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PEACE กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ผู้ประกอบการเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะโครงการแนวราบเพื่อดึงดูดผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และนักลงทุนที่มีกำลังซื้อพร้อม ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมากถึง 60% จากอดีตที่มีสัดส่วนเพียง 40% เชื่อว่าเทรนด์นี้ยังอยู่อีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะโครงการแนวราบในพื้นที่รอยต่อเมือง เพราะรถไฟฟ้ามีการขยายตัวไปรอบนอกมากขึ้น ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดจากเรียลดีมานด์ที่มากขึ้น ถือเป็นการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุค New Normal ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่รองรับการใช้ชีวิตและมีพื้นที่สีเขียวในการผ่อนคลาย มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมภายในครอบครัว ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของคนในครอบครัวได้หลากหลายรูปแบบทั้งการ Work from Home และการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์การอยู่อาศัย ที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อมากขึ้น นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐยังเป็นตัวช่วยสำคัญ และเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

สำหรับ PEACE ที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบ บริษัทฯ ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,045 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ประกอบด้วย 1. โครงการ Cherene กรุงเทพกรีฑา - ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท 2. โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ - เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท และ 3. โครงการ Cher ราชพฤกษ์ - พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2 - 3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่ได้จำกัดในการพัฒนาโครงการเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพียงอย่างเดียว และหากมีพื้นที่ในจังหวัดอื่นที่ทำเลมีศักยภาพ และมีความต้องการซื้อเพียงพอ พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์การดำเนินงานไปยังทำเลที่มีศักยภาพต่อไปได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในทุกขั้นตอน ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อขาย แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น โดยจะเน้นพัฒนาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก ปัจจุบัน PEACE มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ อาทิ โครงการ The Glamor, โครงการ Cordiz at Udomsuk, โครงการ Cher งามวงส์วาน - ประชาชื่น และโครงการ Cher วัชรพล เป็นต้น มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 จำนวน 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักสำรองต่างๆ ของบริษัทฯ

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE ถือเป็นบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน และมีการบริหารงานแบบมืออาชีพ ทำให้กระแสตอบรับจากนักลงทุนในช่วงการจองซื้อหุ้น IPO ล้นหลาม เนื่องจากเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารท่ามกลางอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์แนวราบมีการแข่งขันที่สูงจากผู้ประกอบการหลายราย ซึ่งปัจจัยหลักที่ลูกค้าให้ความสำคัญได้แก่ ทำเลที่ตั้ง รูปแบบบ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ราคา และความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ ซึ่ง PEACE เรียกได้ว่าตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อ จนสามารถประสบความสำเร็จและมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา แม้ในยามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม PEACE ยังสามารถบริหารจัดการ โดยมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ พร้อมปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการขายบ้านมากขึ้น เช่น การชมบ้านตัวอย่างทางออนไลน์ แบบ 360 องศา (Virtual Tour) เป็นต้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดโควิด-19

'บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง' โชว์ฟอร์มเทรดวันแรกแกร่ง ตอกย้ำผู้พัฒนาอสังหาฯ แนวราบ เตรียมรับดีมานด์ยุค New Normal ผุด 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท