ACOM ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จาก สำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมความพร้อมเสนอขาย IPO ระดมทุนขยายธุรกิจ

17 May 2022

'บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป' (บริษัทฯ) หรือ ACOM ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จากสำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมความพร้อมเดินหน้าขาย IPO ระดมทุนขยายธุรกิจ พัฒนาแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ ตอกย้ำผู้นำการให้บริการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และฐานลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น วางกลยุทธ์สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตร ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม ขยายฐานลูกค้าและมองโอกาสเข้าซื้อกิจการ พร้อมผนึก DKSH ขยายตลาดเวียดนาม

ACOM ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จาก สำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมความพร้อมเสนอขาย IPO ระดมทุนขยายธุรกิจ

นายธนิก ธราวิศิษฏ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการนำบริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด หรือ ACOM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายหลังที่ ACOM ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุดได้รับอนุมัติ แบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว โดยปัจจุบัน ACOM อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ตลอดจนพิจารณากำหนดช่วงราคาและระยะเวลาที่จะเสนอขายหุ้น IPO เพื่อแจ้งให้ทราบต่อไป

ทั้งนี้ ACOM จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนรวมไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 35.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน ร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยจะนำเงินไปใช้ลงทุนขยายธุรกิจและเข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร ใช้เป็นเงินทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม EcommerceIQ และเทคโนโลยีด้านอื่นๆ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS และเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป

นายวีระพงษ์ (พอล) ศรีวรกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ ACOM เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำการให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E - commerce Enabler) อย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ยอดขายสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) โดยมีมูลค่าเป็น 1.8 เท่าเทียบกับคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้อยละ 16.5 ในปี 2563 ปัจจุบันให้บริการแก่ลูกค้าใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เพื่อสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆ พัฒนาและเพิ่มศักยภาพการจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งเว็บสโตร์ มาร์เก็ตเพลสและโซเชียลมีเดีย

บริษัทฯ ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร ครอบคลุมการออกแบบและพัฒนาร้านค้าออนไลน์ (Webstore Development) บริหารร้านค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ (Brand Store Operations) ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ (E-commerce Strategy Consulting) ให้บริการคลังสินค้าครบวงจร (Warehousing and Fulfillment) รับชำระเงินและจัดส่งสินค้า (Payment and Delivery) วิเคราะห์และให้ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics and Insights) รวมถึงมีศูนย์บริการและดูแลลูกค้า (Customer Care Solutions) เพื่อช่วยเหลือแบรนด์ต่างๆ สื่อสารกับลูกค้า ขณะเดียวกันบริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 800 ล้านบาท ทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี "EcommerceIQ" สำหรับการบริหารการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้เชื่อมต่อแพลตฟอร์มดังกล่าวเข้ากับซอฟต์แวร์ช่องทางการเชื่อมต่อ (Application Programing Interfaces หรือ APIs) แล้วกว่า 300 รายการ ไปยังผู้ให้บริการต่างๆ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ รวมถึงได้พัฒนาซอฟต์แวร์ "EcommerceIQ Market Insights" และซอฟต์แวร์ "EcommerceIQ Client Analytics" ในรูปแบบ Software as a Service หรือ SaaS เพื่อให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ช่วยให้แบรนด์สินค้าเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและคู่แข่ง สามารถกำหนดราคาสินค้าและวางตำแหน่งให้กับแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง โดยบริษัทฯ คาดว่าตลอดช่วงปี 2565 และ 2567 จะสามารถนำเสนอการให้บริการเพิ่มเติมภายใต้ EcommerceIQ SaaS ได้อีก

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีฐานลูกค้าแบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนำระดับโลกทั้งสิ้นกว่า 168 ราย เพิ่มขึ้นถึง 50 ราย หรือร้อยละ 42 เทียบกับปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 13 แบรนด์ จาก 100 แบรนด์แรกในปี 2564 โดยมีสินค้าที่รับบริหารจัดการสินค้ากว่า 39,221 รายการ ขณะที่ยอดขายสินค้าที่บริหารจัดการแบบครบวงจรนับจากปี 2562-2564 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 52 ปัจจัยมาจากการขยายฐานลูกค้ารายใหม่และยอดขายของลูกค้ารายเดิมที่เพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณายอดขายของลูกค้ารายเดิมที่เริ่มใช้บริการในปี 2559 - 2562 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2564 ที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 35 - 184 ส่วนยอดขายสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง (EMV) ของบริษัทฯ ในปี 2564 อยู่ที่ 10,149.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 8,192.8 ล้านบาท

"บริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ DKSH เพื่อเป็นพาร์ทเนอร์เพียงรายเดียวสำหรับการให้บริการธุรกิจออนไลน์แบบ B2C ทั้งหมดในประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ โดย DKSH ได้โอนและแนะนำแบรนด์สินค้าที่ต้องการขยายธุรกิจออนไลน์แบบ B2C แก่ ACOM ทำให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/2564 และบริษัทฯ ยังวางแผนขยายธุรกิจในเวียดนามเพื่อสนับสนุน DKSH และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง" นายวีระพงษ์ (พอล) กล่าว

บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนเพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ และเพิ่มฐานผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร ได้แก่ 1) มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับกลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรระดับโลกของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มจำนวนแบรนด์ รายการสินค้าและการให้บริการมากกว่า 1 ประเทศ 2) ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ เช่น บริการจัดการคำสั่งซื้อที่ซับซ้อน และการเพิ่มขีดความสามารถด้านข้อมูล เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าที่ใช้บริการสามารถสร้างสรรค์แคมเปญที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3) ขยายฐานผู้ใช้บริการรายใหม่ และกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 4) มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS ทั้งในด้านฟีเจอร์ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ และเพิ่มความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เพื่อขยายไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น ทั้งบริษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก และ 5) การเข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อขยายตลาดใหม่ เช่น เวียดนามและขยายธุรกิจที่มีในมาเลเซีย เป็นต้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

ACOM ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จาก สำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมความพร้อมเสนอขาย IPO ระดมทุนขยายธุรกิจ
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit