เครือซีพี จับมือ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรฯ ปลูกป่าลดโลกร้อน ประกาศนำร่อง "โครงการปลูกป่าในบ้านฯ" ขานรับนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว มุ่งสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573

11 Aug 2022

นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกผู้คน ตลอดจนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซีพีซึ่งมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงกำหนดเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายระยะยาวสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2593 ทั้งนี้หนึ่งในกุญแจดอกสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวคือความร่วมมือของทุกหน่วยงานในเครือฯ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก จะต้องช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงทางอ้อมอย่างต่อเนื่องด้วยการปลูกไม้ยืนต้น ซึ่งถือเป็นนโยบายประการสำคัญของเครือฯโดยตั้งเป้าหมายปลูกไม้ยืนต้นให้ได้ 20 ล้านต้นภายใน 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2563 ด้วยเหตุนี้จึงมีความยินดีเป็นอย่างมากที่กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ เดินหน้าตามนโยบายของเครือฯ โดยการดำเนินโครงการปลูกป่าในบ้าน มีเป้าหมายปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ของตนเอง จำนวน 1.2 ล้านต้น ซึ่งต้นไม้เหล่านี้จะช่วยกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ช่วยลดโลกร้อน และยังเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนขององค์กร และนอกจากจะมีการปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ของหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ ซีพียังร่วมกับคู่ค้า และหน่วยงานอื่นๆ ทำกิจกรรมดูแล และปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญอีกด้วย

เครือซีพี จับมือ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรฯ ปลูกป่าลดโลกร้อน ประกาศนำร่อง "โครงการปลูกป่าในบ้านฯ" ขานรับนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว  มุ่งสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573

"ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงมากขึ้น เป็นเรื่องที่ทุกประเทศให้สำคัญ และพยายามร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเครือฯ เป็นองค์กรหนึ่งที่ตระหนักและให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงขอเชิญชวนพนักงานกว่า 4.5 แสนคน ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนคู่ค้าต่างๆ ร่วมกันปลูกต้นไม้ในพื้นที่ทำงาน พื้นที่สาธารณะ และที่อยู่อาศัย ฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีส่งต่อให้กับลูกหลานของเราต่อไป"

ด้านนายประสิทธิ์ ดำรงชิตานนท์ รองประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ ขอประกาศเจตนารมณ์การมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ปี 2573 ตามนโยบายของเครือซีพี โดยในวันนี้ได้ร่วมกันปลูกไม้ยืนต้นที่ได้จากโครงการ ซีพี ร้อยรักษ์โลก ทั้งไม้ป่าและไม้ผล อาทิ เช่น ต้นพะยุง แคนา มะฮอกกานี ขนุน มะม่วงน้ำดอก ในพื้นที่โรงงานปุ๋ยอินทรีย์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด จ.สระบุรี เพิ่มเติมอีกจำนวน 507 ต้น บนพื้นที่ 5 ไร่ นอกจากจะเป็นการช่วยกักเก็บก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังมีส่วนในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ และสนับสนุนให้เกิดความหลายหลายทางชีวภาพอีกด้วย

กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ธรรมชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการธรรมชาติปลอดภัยฯ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญของภาคเหนือ และภาคกลาง ควบคู่ไปกับ "โครงการปลูกป่าในบ้านฯ" ซึ่งเป็นการปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ของบริษัทเอง เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์และปลูกไม้ยืนต้น 1.2 ล้านต้นภายในปี 2568 ซึ่งปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 9 แสนต้น นับเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ปี 2573 ตามเป้าหมายของเครือฯ

ทั้งนี้ ยังได้มีการขอการรับรองโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนาร่วมกับกรมอุทยานฯ เป็นปริมาณการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก 4,288 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการปลูกต้นไม้ยืนต้นในพื้นที่โรงงานปุ๋ยอินทรีย์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด จ.สระบุรี โดยประมาณการกักเก็บคาร์บอนสำหรับต้นไม้ในพื้นที่โรงงานปุ๋ยอินทรีย์ 230 ไร่ ประมาณ 7,100 ตันคาร์บอนไดออกไซด์

เครือซีพี จับมือ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรฯ ปลูกป่าลดโลกร้อน ประกาศนำร่อง "โครงการปลูกป่าในบ้านฯ" ขานรับนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว  มุ่งสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573