- ๓ ก.พ. ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนไทย มอบทุนการศึกษาโครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11
- ๓ ก.พ. WHA GROUP พบนักลงทุน ส่งซิก Q4 ผลงานนิวไฮ
- ๓ ก.พ. Group CEO แห่งดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป คว้ารางวัล IEEE PES Women in Power Award 2022
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุด ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A-" แนวโน้ม "คงที่" สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และแข็งแกร่ง ของ 4 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ นอกจากนี้เครดิตองค์กรที่บริษัทได้รับ แสดงให้เห็นถึงการมีวินัยทางการเงิน การมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ความยืดหยุ่นและการมีประสิทธิภาพในการบริหารทางการเงินที่ส่งผลให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการดำเนินงาน รวมถึงจากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ และความสามารถของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนต่างๆ ไม่ว่าจะจากทั้งตลาดทุนและสถาบันการเงิน เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในบริษัทฯ ที่ผ่านมาและตามแผนงานที่ได้วางไว้ในอนาคตอีกด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์มีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่อง โดย ในครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ได้ส่งมอบพื้นที่รวม 194,300 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโครงการคลังสินค้าใหม่และสัญญาเช่าพื้นที่ใหม่จำนวน 98,200 ตร.ม. และสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 96,100 ตร.ม. ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบที่มีต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดความต้องการเช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจัดส่งสินค้าแบบด่วน รวมไปถึงตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565 จะมีการส่งมอบโครงการคลังสินค้าใหม่ ๆ รวมพื้นที่กว่า 51,000 ตร.ม. นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคลังสินค้าดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ใหม่อีก 2 โครงการ และพื้นที่ส่วนต่อขยายของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 (WHA Mega Logistics Center Theparak KM. 21) รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 420,000 ตร.ม.
จากผลประกอบการในครึ่งแรกของปีเป็นที่น่าประทับใจ และมีโครงการที่เตรียมส่งมอบในครึ่งหลังของปีอีกหลายโครงการ รวมไปถึงการเปิดตัวอาคารคลังสินค้าและอาคารสำนักงานมูลค่าสูงใหม่ ๆ โดยธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ ยังคงมุ่งมั่นเน้นการจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าในอนาคต ด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ ได้แก่ คลังสินค้าอัจฉริยะ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้ง และการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ คาดว่า ปี 2565 จะเป็นปีที่ก้าวกระโดดอีกปีหนึ่ง
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ยังคงตอกย้ำตำแหน่งการเป็นผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย และขยายธุรกิจในเวียดนามให้เติบโตมากขึ้น โดยในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่ และบริษัทฯ ได้ปรับเป้ายอดขายที่ดินสำหรับปี 2565 ขึ้นเป็น 1,650 ไร่
เมื่อต้นเดือนกันยายน บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินขนาด 600 ไร่ กับบริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี โดยคาดว่าโรงงานผลิตรถไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 150,000 คันต่อปี นอกจากนั้น ดีลครั้งนี้ยังยืนยันถึงบทบาทของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะบริษัทฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งคลัสเตอร์ยานยนต์ของประเทศไทยในพื้นที่อีอีซีตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้
ในประเทศเวียดนาม หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการในจังหวัดเหงะอาน บริษัทฯ ยังคงยุทธศาสตร์ในการขยายนิคมอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดหลักๆอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 - เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ได้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยพื้นที่ร้อยละ 76 ของเฟสที่ 1 ได้ปล่อยเช่าให้กับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร พลังงานแสงอาทิตย์ วัสดุก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในจังหวัดเหงะอาน ทั้งนี้บริษัทฯ เร่งก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,215 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเขตอุตสาหกรรม ขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติโครงการ จังหวัดถั่งหัวเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม และมีทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ใกล้กับกรุงฮานอยและท่าเรือน้ำลึกแหล็กเฮวี่ยน โดยโครงการ 'WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa' ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองหลักของจังหวัด พร้อมที่จะรองรับความต้องการของนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง และการขยายโครงการ 'Northern Technology Corridor' ของเวียดนาม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ของประเทศเวียดนาม ในจังหวัดกว๋างนาม บนพื้นที่ขนาด 2,500 ไร่ โดยโครงการ 'WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam' ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ใจกลางภาคกลาง ใกล้จังหวัดดานังและกว๋างหงาย ซึ่งในอนาคต โซนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ตั้งเป้าที่จะรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคสะอาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม การแพทย์ หรือโลจิสติกส์
ด้านสาธารณูปโภค บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เช่น น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และน้ำปราศจากแร่ธาตุ สำหรับประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและการบำบัดน้ำเสีย สูงขึ้นร้อยละ 10 เป็น 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 19 เป็น 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ยังได้สร้างโรงผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 กำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และในส่วนของผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่านั้น บริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กรายใหม่ (SPP) แล้วเสร็จด้วยกำลังการผลิตรวม 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และยังมีการพัฒนาโรงงานผลิตน้ำปราศจากแร่ธาตุในนิคมอุตสาหกรรมเอเชียที่มีกำลังการผลิต 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เซ็นสัญญาซื้อขายน้ำกับลูกค้าที่ต้องใช้น้ำจำนวนมาก ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรมการผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์
สำหรับประเทศเวียดนามบริษัทฯ มีโครงการน้ำที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 โครงการ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2565 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 22 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 12.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากมีฐานลูกค้าและพื้นที่ครอบคลุมการให้บริการน้ำประปามากขึ้น
ด้านพลังงาน บริษัทฯ ยังคงขยายพอร์ทการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) จำนวน 62 เมกะวัตต์ ในขณะที่อีก 64 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังได้มีการลงนามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหม่อีก 15 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 34 เมกะวัตต์
สำหรับโครงการโซลาร์รูฟท็อปของบริษัท ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโซล่าร์รูฟท็อปที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีกำลังการผลิต 19.4 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยรวมแล้ว สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามทั้งหมดของโครงการโซลาร์รูฟท็อปคาดว่าจะสูงถึง 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้
กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมขยายพอร์ทธุรกิจด้านพลังงานด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์
ขณะเดียวกัน ภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมสมัยใหม่ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ บมจ.ปตท. และ บริษัท เซอร์ทิส เพื่อพัฒนา แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ซึ่งมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ภูมิภาค ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวอยู่ในช่วงเปิดตัวโดยมีลูกค้าชั้นนำกลุ่มแรกจำนวน 54 ราย ภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ เข้าร่วมโครงการ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่จะเริ่มขึ้นภายในปีนี้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ โครงการดังกล่าวจะยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทยด้วยการลดต้นทุนด้านพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้นอีกด้วย
กลุ่มธุรกิจดิจิทัล เพิ่มศักยภาพธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงบริการและโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น
ภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะวางไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) และพร้อมให้บริการแล้วเสร็จทั้ง 11 นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย และยังมีการให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมสำหรับติดตั้งอุปกรณ์สำหรับรับและกระจายสัญญาณเครือข่าย 3G, 4G, และ 5G ภายในนิคมฯ ของดับบลิวเอชเอ นอกจากนี้ กลุ่มธุริกิจดิจิทัลได้มีการขายสินทรัพย์ประเภท ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) จำนวน 2 แห่ง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยสร้างกำไรได้ถึง 345 ล้านบาท ปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงถือหุ้นร้อยละ 15 ใน SUPERNAP ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Tier IV
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจดิจิทัลของดับบลิวเอชเอ ยังศึกษาและผลักดันการนำนวัตกรรมด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงการพัฒนาโซลูชันดิจิทัลของตัวเอง โดยได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน WHAbit เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงบริการ Telemedicine (การให้บริการปรึกษาแพทย์ ผ่านทางเทคโนโลยีและการสื่อสารแบบ Video conference) ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของบริษัทฯ โดยได้จับมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชเพื่อส่งเสริมและพัฒนาโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์
ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยี ในปี 2567 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้สร้างโรดแมพ ที่ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ส่งเสริมนวัตกรรมในสถานที่ทำงาน การปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานด้านดิจิทัลให้กับองค์กร รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลและทักษะด้านนวัตกรรมให้กับพนักงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังมีการสำรวจเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว META W เมตะเวิร์สอุตสาหกรรมรายแรก ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทในยุคดิจิทัล
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้สร้างโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต พร้อมก้าวสู่อนาคตด้วยความมั่นใจ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 30 ปี เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในปัจจุบันได้เปิดโอกาสใหม่ ๆ มากมาย และเรามุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสเหล่านั้นมาใช้ในกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของบริษัทฯ ทั้งลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนสังคมไทยโดยรวม
ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์