ฟิทช์คงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทไทยรับประกันภัยต่อที่ 'A-' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

14 Feb 2023

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength Rating: IFS Rating) ของบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ที่ 'A-' (หรืออยู่ในระดับ "แข็งแกร่ง") แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

การประกาศคงอันดับเครดิตของ THRE สะท้อนถึงโครงสร้างบริษัทประกันภัยที่ยังแข็งแรง (Favorable Company Profile) ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และระดับความเสี่ยงทางด้านการลงทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้การจัดอันดับในครั้งได้พิจารณาถึงผลประกอบการที่ค่อนข้างอ่อนแอในปี 2565 เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส และการคาดการณ์ของฟิทช์ว่ารายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2566 เป็นต้นไป

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง: THRE มีระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมาย (Risk-based capital ratio) ณ สิ้นเดือน กันยายน 2565 ที่ปรับดีขึ้นอยู่ที่ 334% จาก 275% ณ สิ้นปี 2564 และสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 140% ทั้งนี้จากการประมาณการของฟิทช์ระดับเงินกองทุนของบริษัทซึ่งประเมินจากแบบจำลอง Prism Factor-Based Capital Model (Prism FBM) ของฟิทช์นั้นอยู่ในระดับ "แข็งแกร่งมากที่สุด" ('Extremely Strong') ในปี 2565 ถึงแม้ว่าผลประกอบการของบริษัทยังคงอ่อนแอ เนื่องจากค่าสินไหมทดแทนของเบี้ยประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับประกันโควิท-19 ที่สูงจากการแพร่ระบาดใหญ่ในช่วงต้นปี 2565 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนเบี้ยประกันภัยรับสุทธิต่อส่วนทุน ยังคงอยู่ในระดับที่ประมาณ 1 เท่า ณ สิ้นเดือน กันยายนน 2565 ซึ่งยังคงอยู่ระดับที่ยอมรับได้สำหรับช่วงอันดับเครดิต ณ ระดับปัจจุบันของบริษัท

อัตรากำไรที่ฟื้นตัวในปี 2566: ฟิทช์คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวขึ้นมามีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2566 เนื่องจากกรมธรรม์ประกันโควิด-19 ที่จะสิ้นสุดลง และสภาวะตลาดที่แข็งตัวขึ้น (Hard Market) ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Combined Ratio) ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 97%-102% ในปี 2566 จากประมาณ 112% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 โดยค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2562-2564 เท่ากับ 107%

ฟิทช์คาดว่า THRE จะมีเกณฑ์และเงื่อนไขการรับประกันภัยที่รัดกุมมากขึ้น และปรับปรุงการบริหารการใช้การประกันภัยต่อช่วงเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้อัตราการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นและจำกัดอัตราการขาดทุน ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 4-6% (mid-single digit) โดยไม่รวมผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้นของบริษัทลูกแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนอันดับเครดิต ณ ระดับปัจจุบันของบริษัท
โครงสร้างบริษัทที่แข็งแรง: ฟิทช์ประเมินโครงสร้างบริษัทของ THRE อยู่ในระดับแข็งแรง เนื่องจากบริษัทมีโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีบรรษัทภิบาลที่ดี เมื่อเทียบกับบริษัทประกันภัยอื่นภายในประเทศไทย โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่ THRE เป็นบริษัทประกันภัยต่อรายเดียวในประเทศและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มั่นคงที่ระดับ 30%-40% ของเบี้ยประกันภัยต่อภายในประเทศ และมีประเภทผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งความสามารถในการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า

ทั้งนี้ความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจได้ถูกลดทอนลงไปบ้างด้วยขนาดของธุรกิจที่ค่อนข้างเล็กสำหรับธุรกิจประกันต่อและผลประกอบการที่ผันผวน ดังนั้นฟิทช์จึงให้อันดับคะแนนด้านโครงสร้างบริษัทที่ระดับ 'a-' ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาปัจจัยเครดิตของฟิทช์ (credit factor scoring guideline)

กลยุทธ์การลงทุนที่ระมัดระวังและการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง:บริษัทมีกลยุทธ์การลงทุนและบริหารสินทรัพย์ที่ระมัดระวัง โดยสัดส่วนการลงทุนมากกว่า 75% อยู่ในเงินฝากและตราสารหนี้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยง (risky asset ratio) อยู่ที่ระดับ 41% ณ สิ้นเดือน กันยายน 2565 ซึ่งจะอยู่ในช่วงอันดับเครดิตที่ 'A' - 'AA'

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)

  • การปรับตัวลดลงของความสามารถในการทำกำไรซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (Combined Ratio) ที่สูงกว่า 103% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง
  • การปรับตัวลดลงของระดับเงินกองทุนที่วัดจากอัตราส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (RBC) มาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 280% และการปรับตัวลดลงของระดับเงินกองทุนของบริษัทซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism FBM มาอยู่ต่ำกว่าระดับบนของกลุ่ม "แข็งแกร่ง" ('Strong') เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)

  • การปรับตัวเพิ่มขึ้นของความสามารถในการทำกำไรซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (Combined Ratio) ที่ต่ำกว่า 96% ในขณะที่สามารถรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on equity) ไว้ในระดับสูงกว่า 10% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง
  • การปรับตัวเพิ่มขึ้นของระดับเงินกองทุนซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism FBM และสามารถคงอยู่ในระดับบนของกลุ่ม "แข็งแกร่งมากที่สุด" ('Extremely Strong') ได้อย่างต่อเนื่อง

การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หากไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้ แสดงว่าบริษัทมีระดับคะแนนความสัมพันธ์ของ ESG ต่ออันดับเครดิต ไม่เกินระดับ 3 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้าน ESG จะไม่ส่งผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบในระดับที่น้อยมากต่ออันดับเครดิตของบริษัท ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากลักษณะของธุรกิจหรือจากการบริหารจัดการของบริษัทก็ตาม

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ ESG หาได้จาก https://www.fitchratings.com/esg