ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ความหวังในการแก้ปัญหากำลังก่อตัวขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยหนึ่งในหน่วยงานที่สนับสนุนการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นอย่างจริงจัง คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้การกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีหน้าที่จัดสรรงบประมาณวิจัยจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) โดยปัจจุบันได้ทำความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ทำงานกับสำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการมุ่งเป้าในหลายมิติ เช่น การใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อลดไฟในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร การใช้ Big Data เพื่อช่วยจังหวัดบริหารจัดการและรับมือสถานการณ์วิกฤติ รวมถึงการใช้กระบวนการวิจัยเพื่อจัดทำแผนแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ร่วมกับกลไกภาคี PES (Payment for Ecosystem Service) เพื่อทำให้ประชาชนชาวเชียงใหม่ปลอดภัย และลดผลกระทบจาก PM 2.5 จากการดูแลแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด การเข้าไปขจัดปัญหาที่ต้นตอของแหล่งกำเนิดฝุ่น และสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชนและคนที่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นแหล่งของปัญหา เพราะฝุ่น PM 2.5 ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า 65% ของพื้นที่เผาไหม้มาจากพื้นที่ป่า โดยกว่าครึ่งหนึ่งของไฟป่าเกิดจากการเผาเพื่อหาของป่า ส่วนพื้นที่เผาไหม้ที่เหลือมาจากพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะนาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่หมุนเวียน และไร่อ้อย สะท้อนให้เห็นว่าปัญหานี้เชื่อมโยงโดยตรงกับปากท้องของชุมชน และมีโมเดลความสำเร็จที่น่าสนใจในการจัดการปัญหาดังนี้
"บ้านม้งดอยปุย" โมเดลต้นแบบจัดการป่าอย่างยั่งยืน
"เราดูแลป่าต้นน้ำมากว่า 20 ปีแล้ว" คือคำพูดที่ "พ่อหลวงไตรภพ แสนยาเกียรติคุณ ผู้ประสานงานเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งดอยสุเทพ-ปุย" เล่าถึงความสำเร็จของชุมชนในการจัดการป่าและป้องกันไฟป่า แม้จะมีความท้าทายในการจัดการที่ดินและการสร้างรายได้จากเศษวัสดุเกษตร แต่ชุมชนก็สามารถพัฒนาแนวทางที่ยั่งยืนได้ ด้วยกลยุทธ์ 3 ประสาน รัฐ-เอกชน-ชุมชน กลไกสำคัญในการแก้ปัญหา "โดยการมุ่งสร้างระบบที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทั้งการพัฒนาระบบตลาดคาร์บอนเครดิต และการจ่ายค่าตอบแทนคืนสู่ระบบนิเวศ หรือ Payment for Ecosystem Service" และ 4 มาตรการเด็ด! พลิกวิกฤตสู่โอกาส ได้แก่ 1. "แปลงรวม" โมเดลใหม่จัดการป่าชุมชน ไม่ให้กรรมสิทธิ์เฉพาะบุคคล แต่ส่งเสริมการดูแลร่วมกัน 2. "PM2.5 Free" มาตรฐานใหม่รับรองผลผลิตปลอดฝุ่นพิษ สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกร 3. แปรรูปเศษวัสดุเกษตรเป็นพลังงานและอาหารสัตว์ สร้างรายได้ทดแทนการเผา และ 4. สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเอกชนที่ร่วมอนุรักษ์ป่า
เสียงจากพื้นที่: ความหวังที่เป็นจริง
ด้านนักวิจัยในพื้นที่เล่าถึงประสบการณ์การทำงานร่วมกับชาวบ้านว่า "การแก้ปัญหาฝุ่นต้องเริ่มจากการเข้าใจวิถีชีวิตของชุมชน เมื่อเขามีทางเลือกในการสร้างรายได้ที่ไม่ต้องพึ่งการเผา ปัญหาก็จะค่อยๆ คลี่คลาย"
มองไปข้างหน้า: อนาคตอากาศสะอาดที่เป็นไปได้ สู่อนาคตที่ยั่งยืน
แม้จะยังมีความท้าทายอีกมาก แต่ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม การผสานพลังระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น นวัตกรรมการวิจัย และกลไกทางเศรษฐกิจ กำลังนำพาประเทศไทยสู่อนาคตที่มีอากาศสะอาดและทรัพยากรที่ยั่งยืน ซึ่งการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษไม่ใช่เพียงการลดพื้นที่เผาไหม้หรือการบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการสร้างระบบที่เอื้อให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน ทุกภาคส่วน ทั้งชุมชนท้องถิ่น นักวิจัย ภาครัฐ และเอกชน ต้องร่วมมือกันสร้างสมดุลระหว่างการใช้ทรัพยากรและการอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อให้ป่าไม้เป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนในสังคมไทย
เมื่อทุกคนตระหนักว่าปัญหาฝุ่นพิษเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน และลงมือทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เราจะสามารถสร้างอนาคตที่มีอากาศสะอาดและทรัพยากรที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit