'TMAN' ฟอร์มแข็งแกร่งรอบ 9 เดือน รายได้รวม 1,645.92 ล้านบาท กำไรสุทธิที่มาจากธุรกิจหลักโต 14.6% ตอกย้ำ NO. 1 อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของประเทศไทย ประกาศแผนไตรมาส 4 สร้างโมเมนตัมเติบโตแข็งแกร่งรับไฮซีซัน
"บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล" หรือ TMAN ตอกย้ำ NO. 1 ในอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของประเทศไทย โชว์ผลการดำเนินงาน 3/2567 รายได้รวม 535.80 ล้านบาท เติบโต 14.10% กำไรสุทธิ 104.20 ล้านบาท เติบโต 15.8% หนุนผลงาน 9 เดือน ทำรายได้รวม 1,645.92 ล้านบาท เติบโต 15.15% กวาดกำไรสุทธิที่มาจากธุรกิจหลักที่ไม่รวมการกลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 338.45 ล้านบาท เติบโต 14.6% ปลื้มรายได้จากการขายโพรโพลิซ ยาแก้ไอยราโตโดดเด่น กลยุทธ์ออกแพกเกจจิ้งขนาดใหม่ตอบโจทย์ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และขยายฐานลูกค้าโรงพยาบาลมากขึ้น ประกาศมุ่งสร้างโมเมนตัมเติบโตแข็งแกร่งไตรมาส 4 มั่นใจรายได้ทั้งปีเติบโตในอัตราที่สูงกว่ามูลค่าตลาดรวมการจำหน่ายยาในประเทศไทยที่ขยายตัว 6-7% ต่อปี
นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน 2567) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีรายได้รวม 535.80 ล้านบาท เติบโต 14.10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และทำกำไรสุทธิ 104.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยจากรายได้จากการขายกลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์โพรโพลิซ (Propoliz) และยาแก้ไอยรา เติบโตโดดเด่นสอดรับกับช่วงไฮซีซัน ประกอบกับการออกสินค้าขนาดใหม่ และเพิ่มความสะดวกใช้งานง่ายทำให้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มร้านค้าปลีกมากขึ้น อีกทั้งรายได้จากยาสามัญสร้างโมเมนตัมเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดตัว Attor ยาลดคอเลสเตอรอล, Maniptin ยารักษาเบาหวาน และยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทฯ ขยายฐานกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลได้มากขึ้น
ทั้งนี้ความสำเร็จดังกล่าวตอกย้ำ TMAN ในฐานะหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของประเทศไทย ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยผลักดันให้ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้รวม 1,645.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,429.36 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 342.60 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิที่มาจากธุรกิจหลักที่ไม่รวมการกลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นจำนวน 338.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิที่มาจากธุรกิจหลักไม่รวมการกลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นจำนวน 295.4 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายการผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ 1,580.20 ล้านบาท เติบโต 13.51% การรับจ้างผลิตเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก 25.30 ล้านบาท เติบโต 208.50% และการจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก 32.90 ล้านบาท เติบโต 53.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่รายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 132.53 ล้านบาท เติบโต 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากยอดสั่งซื้อกลุ่มลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนและฮ่องกงเติบโตต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทฯ เดินหน้าสร้างเติบโตมุ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ ผ่านผู้จัดจำหน่ายและกลุ่มลูกค้าองค์กรอื่น ใน 22 ประเทศทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น ฮ่องกงและมาเลเซีย และขยายการเติบโตไปยังประเทศที่มีศักยภาพ รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อสนับสนุนแผนการขยายการดำเนินงานไปในต่างประเทศ โดยการเพิ่มจำนวนบุคลากรฝ่ายการขายและการตลาดต่างประเทศ เพื่อเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และก้าวสู่การเป็นผู้นำเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในระดับภูมิภาค (Regional Player)
นายประพล กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ วางแผนสร้างโมเมนตัมการเติบโตอย่างแข็งแกร่งช่วงไตรมาส 4 โดยเตรียมนำผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยาใหม่ขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าร้านขายยา โรงพยาบาล และโดยเฉพาะคลินิกเสริมความงาม หลังจากได้เปิดตัวแบรนด์ "Rejunae" นวัตกรรมฟิลเลอร์และไหมร้อยหน้าจากเกาหลี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนสู่ฤดูหนาว คาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี จะส่งผลดีต่อแนวโน้มดีมานด์การใช้ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยาที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 อาทิ กลุ่มโรคทางเดินหายใจ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลและช่วยบรรเทาอาการทางช่องปากและลำคอ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ฯลฯ จึงคาดการณ์รายได้ทั้งปีของกลุ่มบริษัทฯ จะมีอัตราเติบโตมากกว่ามูลค่าตลาดรวมการจำหน่ายยาในประเทศไทย ปี 2566 -2568 ที่คาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit