ส่องนวัตกรรม Microsoft Ignite 2024: เผย 70% ของบริษัทติดอันดับ Fortune 500 เลือกใช้ Microsoft 365 Copilot โดย Frank X. Shaw - ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสาร ไมโครซอฟท์
ไมโครซอฟท์ ยกขบวนหลากหลายนวัตกรรมสุดล้ำเปิดตัวในงาน Microsoft Ignite 2024 เดินหน้าสนับสนุนลูกค้า พันธมิตร และนักพัฒนา ในการนำศักยภาพของเทคโนโลยีจากไมโครซอฟท์มาใช้งานได้อย่างเต็มที่ รวมถึงปฏิวัติรูปแบบการทำงานด้วยแนวทางใหม่ๆ โดยในปีนี้ ไมโครซอฟท์ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่กว่า 80 รายการ รวมถึงความสามารถใหม่ๆ ใน Microsoft 365 Copilot และเสริมประสิทธิภาพ Copilot + AI stack ตลอดจนนำเสนอผลิตภัณฑ์ Copilot+ รุ่นใหม่ พร้อมตอกย้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนืออื่นใดคือเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน
โดยนับตั้งแต่เปิดตัว Secure Future Initiative (SFI) เมื่อปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ ได้ยกระดับความปลอดภัยให้เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับพนักงานไมโครซอฟท์ทุกคน ปัจจุบันเรามีวิศวกรกว่า 34,000 คนที่ทุ่มเททำงานในด้านนี้ โดยนวัตกรรมต่างๆ ที่จะเปิดตัวในงาน Ignite ล้วนอยู่ภายใต้หลักการ SFI คือ การออกแบบที่ปลอดภัย การใส่ใจเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ การกำหนดค่าเบื้องต้น และการดำเนินงานที่ปลอดภัย
มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน Ignite ในปีนี้มากกว่า 200,000 คน และมีผู้เข้าร่วมงานจริงที่ชิคาโกกว่า 14,000 คน ซึ่งมีทั้งช่วงการบรรยาย การสาธิต และห้องปฏิบัติการที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญของไมโครซอฟท์และของพันธมิตร ให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถเลือกเข้าร่วมได้มากกว่า 800 รายการ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่จากงาน Ignite ยังเปิดให้รับชมย้อนหลังได้ตามต้องการสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับชมผ่านการถ่ายทอดสดได้
ในกรณีของ AI มี 2 สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ โลกของ AI กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว และการพัฒนาต่างๆ ใช้เวลาสั้นกว่าที่เคย ความจริงอีกประการคือ ลูกค้าหลายแสนรายกำลังใช้เทคโนโลยี AI ของไมโครซอฟท์ และด้วยการลงทุนในแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเขากำลังเห็นประโยชน์มากมายในขณะนี้และเตรียมพร้อมที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับปรุง AI ครั้งใหญ่ในอนาคต
พลังขับเคลื่อนของ Copilot
Microsoft 365 Copilot คือผู้ช่วย AI ในการทำงาน ซึ่งกำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีองค์กรนำ Copilot ไปใช้งานมากขึ้น และได้รับผลสำเร็จจากการใช้งาน โดยปัจจุบันมีบริษัทใน Fortune 500 ประมาณ 70% ที่ใช้งาน Microsoft 365 Copilot
สิ่งนี้สะท้อนถึงเทรนด์ของอุตสาหกรรม โดยผลการศึกษาของ IDC ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Generative AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจากการสำรวจกลุ่มบริษัทในปี 2024 พบว่ามีอัตราการใช้งานถึง 75% ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทที่ใช้งานอยู่ระบุว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนไปกับเทคโนโลยี Generative AI ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์กลับมาถึง 3.70 ดอลลาร์ โดยมีผู้นำองค์กรหลายรายระบุว่าได้รับประโยชน์สูงถึง 10 ดอลลาร์
การลงทุนของไมโครซอฟท์เพื่อพัฒนา Copilot จึงกำลังสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่าให้กับลูกค้าของเรา
เมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์ยังได้นำเสนอกรณีศึกษาความสำเร็จของลูกค้ากว่า 200 รายที่ใช้ AI ในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ด้วย Copilot จุดประกายการสร้างนวัตกรรมและยกระดับองค์กรต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น:
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Microsoft 365 Copilot
ไมโครซอฟท์ ยังเดินหน้าพัฒนาความสามารถใหม่ๆ ใน Microsoft 365 Copilot อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดความซับซ้อนของภาระงานในแต่ละวัน
Copilot Actions (ปัจจุบันอยู่ในช่วงพรีวิวการทดลองใช้งานเฉพาะกลุ่ม) ช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานประจำวันแบบอัตโนมัติได้ง่ายๆ เพียงแค่กรอกคำสั่งในช่องว่าง ไม่ว่าจะเป็นการสรุปการประชุมแบบรายวันใน Microsoft Teams การรวบรวมรายงานประจำสัปดาห์ หรือสรุปการประชุม การพูดคุย และอีเมลต่างๆ เมื่อกลับจากวันหยุดพักร้อน
ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า Actions ได้อย่างสะดวกในแอปพลิเคชัน Microsoft 365 และสามารถใช้เวลาไปกับงานที่สำคัญมากกว่า เพื่อช่วยประหยัดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ผู้ช่วยใหม่ใน Microsoft 365 ออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งาน และยกระดับกระบวนการทำงานให้กับธุรกิจ โดยสิ่งที่ไมโครซอฟท์จะเปิดตัวในงาน Ignite ครั้งนี้ ได้แก่
Copilot + AI Stack
Copilot stack ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทันสมัย ในทุกขั้นตอนการทำงาน โดยไมโครซอฟท์ได้สร้าง Azure AI Foundry เพื่อให้ลูกค้าสามารถออกแบบ ปรับแต่ง และจัดการระบบ AI ได้อย่างสะดวกแบบครบจบในที่เดียว พร้อมทั้งสามารถใช้บริการและเครื่องมือต่างๆ ของ Azure AI ที่มีอยู่เดิม รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเพิ่มเข้ามา ได้แก่
ไมโครซอฟท์ยังคงพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้ AI ที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย โดยได้เปิดตัวระบบรายงาน AI และระบบประเมินความเสี่ยงสำหรับรูปภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎระเบียบ ระบบรายงาน AI จะช่วยให้องค์กรสามารถติดตาม ร่วมมือ และควบคุมการใช้งานแอป AI รวมถึงโมเดลที่ได้รับการปรับแต่งได้ดียิ่งขึ้น
มาพร้อมกับระบบประเมินรูปภาพจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบความถี่และระดับความรุนแรงของเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างภาพด้วย AI ได้อีกด้วย
ดีไวซ์ Copilot+
ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาโซลูชัน Cloud PC ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Windows 365 ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยภายในเวลาไม่กี่วินาที การพัฒนานี้สอดรับกับแนวโน้มที่องค์กรต่างๆ กำลังย้ายระบบการทำงานไปบนคลาวด์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น
Windows 365 Link อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Windows 365 โดยเฉพาะ ซึ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและปลอดภัย อุปกรณ์นี้กำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง และจะเริ่มวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นไป ในราคา 349 ดอลลาร์ มอบประสบการณ์การทำงานบน Windows แบบเดสก์ท็อปที่คุ้นเคย ผ่านระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพสูง
Windows 365 Link มาพร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูงตั้งแต่การออกแบบ เพราะทุกข้อมูลและทุกแอปพลิเคชันจะได้รับจัดเก็บไว้บนระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์เท่านั้น ไม่มีการบันทึกลงในตัวเครื่อง อีกทั้งผู้ใช้ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบในฐานะผู้ดูแล (Admin) ได้ จึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้เพิ่มความสามารถใหม่ให้กับ Copilot+ PC สำหรับลูกค้าในระดับองค์กร โดยใช้ประโยชน์จากชิป AI (NPUs) ที่ติดตั้งมาในเครื่อง สามารถประมวลผล AI ได้ในตัวเครื่อง พร้อมกับปรับปรุงระบบค้นหาของ Windows และเพิ่มฟีเจอร์ Recall แบบใหม่ (อยู่ในช่วงทดลอง) ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสิ่งต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่พิมพ์อธิบายสิ่งที่ต้องการ โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้จะเริ่มทดสอบกับกลุ่ม Windows Insider ที่ใช้ Copilot+ PC ก่อน แล้วจึงเปิดให้ลูกค้าทั่วไปใช้งานได้ในภายหลัง
ความก้าวหน้าของ BlackRock
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับไมโครซอฟท์ โดยได้ย้ายแพลตฟอร์ม Aladdin มาใช้งานบน Microsoft Azure ซึ่งจากการวางรากฐานบน Azure นี้ BlackRock ได้พัฒนาและเปิดตัว Aladdin Copilot ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาได้เองสำหรับลูกค้าทั่วโลก
Aladdin Copilot ใช้เทคโนโลยี AI ของไมโครซอฟท์ในการเชื่อมโยงการทำงานของทั้งระบบเข้าด้วยกัน ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับคำตอบทันที เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และค้นพบข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การพัฒนานี้ทำให้แพลตฟอร์ม Aladdin สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดและตอบสนองได้ดีขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น ขยายการใช้งานได้กว้างขึ้น และผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ครบถ้วนมากขึ้น
ความร่วมมือระหว่าง BlackRock และไมโครซอฟท์มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากการย้ายระบบไปยัง Azure และการเปิดตัว Aladdin Copilot แล้ว BlackRock ยังได้ลงทุนซื้อสิทธิ์การใช้งาน Microsoft 365 Copilot สำหรับพนักงานถึง 24,000 คน โดยปัจจุบันมีพนักงานราว 60% ที่ใช้ Copilot เป็นประจำทุกสัปดาห์
ล่าสุด BlackRock ยังได้ตัดสินใจย้ายระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) จากเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรขึ้นไปยังระบบคลาวด์ด้วย Dynamics 365 เนื่องจากสามารถทำงานร่วมกับ Teams และ Outlook ได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการตัดสินใจครั้งนี้
ความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัย
ไมโครซอฟท์ตระหนักดีว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผู้ไม่ประสงค์ดีอยู่เสมอ โดยไมโครซอฟท์เชื่อว่าการรักษาความปลอดภัยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายและการสร้างพันธมิตรในชุมชนด้านความปลอดภัย ทั้งการแบ่งปันข้อมูล และการทำงานร่วมกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามได้ดียิ่งขึ้น
ด้วยแนวคิดการร่วมมือกันด้านความปลอดภัย ไมโครซอฟท์ได้ประกาศจัดการแข่งขัน Zero Day Quest ในงาน Ignite ภายใต้โครงการ Secure Future Initiative (SFI) ซึ่งเป็นงานวิจัยด้านความปลอดภัยสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การแข่งขันนี้มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของ AI และระบบคลาวด์ โดยมีเงินรางวัลรวมเป็นมูลค่าถึง 4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นรางวัลที่สูงที่สุดในวงการ และยังเพิ่มเติมจากโปรแกรมให้รางวัลประจำปีมูลค่า 16 ล้านดอลลาร์ที่มีอยู่เดิม จุดประสงค์ของการแข่งขัน คือการเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระดับโลก มาช่วยแก้ไขปัญหาความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับลูกค้า พร้อมโอกาสรับรางวัลแบบทวีคูณ
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยไมโครซอฟท์พบว่าผู้โจมตีได้พัฒนาวิธีการใหม่ในการหาจุดอ่อนของระบบ ผ่านการใช้การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงแบบกราฟระหว่างข้อมูลส่วนตัว ไฟล์ และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อหาช่องทางโจมตี วิธีการนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างความเสียหายได้เป็นวงกว้างจากการโจมตีเพียงจุดเดียว ในขณะที่ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมมักได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันเฉพาะจุด เช่น แล็ปท็อปหรืออีเมล แต่ไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงทั้งระบบ จึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไมโครซอฟท์จึงได้เปิดตัว Security Exposure Management ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยในรูปแบบใหม่ที่ใช้ทั้งข้อมูลอัจฉริยะและ AI ระบบนี้รวมข้อมูลจากกราฟของไมโครซอฟท์เข้ากับข้อมูลจากเครื่องมือรักษาความปลอดภัยของบริษัทอื่นๆ ที่ลูกค้าใช้งาน ทำให้สามารถแสดงภาพรวมของช่องโหว่ต่างๆ และคาดการณ์เส้นทางการโจมตีได้ก่อนที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะค้นพบ
ด้วยประสิทธิภาพการประมวลผลในระดับคลาวด์ ทำให้ระบบสามารถติดตามทรัพย์สินดิจิทัลและความเสี่ยงต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยป้องกันการบุกรุกได้ดีขึ้น พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารด้านไอที การปฏิบัติการ และการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อช่วยในด้านการตัดสินใจด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมและการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นที่ไมโครซอฟท์จะประกาศในงาน Ignite ครั้งนี้ ท่านสามารถติดตามการปาฐกถาพิเศษจากผู้บริหารระดับสูงของไมโครซอฟท์ นำโดย Satya Nadella, Rajesh Jha, Scott Guthrie, Charlie Bell และ Vasu Jakkal ได้ทั้งแบบถ่ายทอดสดและรับชมย้อนหลัง
นอกจากนี้ ท่านยังสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานประกาศทั้งหมดได้จาก Book of News ซึ่งเป็นเอกสารรวบรวมข่าวสารประจำวันอย่างเป็นทางการ รวมถึงบทความเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit