TKS โชว์ฟอร์มแกร่ง ปี 67 บุ๊คกำไรกว่า 192 ลบ. โตกว่า 67% แจกเงินปันผลผู้ถือหุ้นอีกหุ้นละ 0.33 บ. ขึ้น XD 30 เม.ย. 68

28 Feb 2025

"บมจ.ที. เค. เอส. เทคโนโลยี หรือ TKS" ประกาศผลงานปี 67 โชว์ฟอร์มแกร่ง บุ๊คกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 192.9 ลบ. เพิ่มขึ้น 77.5 ลบ. โต 67.2% จากปีก่อน มีรายได้ 1,515.2 ลบ. เพิ่มขึ้น 26.9 ลบ. หรือ 1.8% จากงานโครงการพิเศษกลุ่มธุรกิจการพิมพ์ กลุ่มบรรจุภัณฑ์และฉลาก และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้น ชูอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 34.9 ผลจากการบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต พร้อมแจกปันผลเป็นเงินสดตอบแทนผู้หุ้น 0.33 บ.ต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 30 เม.ย. 68 และกำหนดจ่ายวันที่ 16 พ.ค. 2568 นี้ ตั้งธงรายได้ปี 68 โต 9% พร้อมเดินหน้าขยายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต"

TKS โชว์ฟอร์มแกร่ง ปี 67 บุ๊คกำไรกว่า 192 ลบ. โตกว่า 67% แจกเงินปันผลผู้ถือหุ้นอีกหุ้นละ 0.33 บ. ขึ้น XD 30 เม.ย. 68

นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที. เค. เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ผู้ประกอบธุรกิจ Security Printing ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยสำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดปี 2567 มีรายได้ 1,515.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 26.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.8 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากงานโครงการพิเศษกลุ่มธุรกิจการพิมพ์ กลุ่มบรรจุภัณฑ์และฉลาก และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้น มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 34.9 เพิ่มจากปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 29.6 เป็นผลจากการบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Business) ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง

โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 192.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 67.2 จากปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการค้าร่วมลดลง 88.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.8 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรขาดทุนจาก PTECH ซึ่งรับรู้เป็นผลขาดทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับรู้เงินปันผลจากเงินลงทุนหลักๆ ได้แก่ MSC และ AIT ในระหว่างงวดจำนวน 33.3 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมได้บางส่วน

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นชอบการจ่ายเงินปันผล โดยเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะจัดประชุมในวันที่ 23 เมษายน 2568 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดจากผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 223 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท และสำหรับงวด 6 เดือนหลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.33 บาท กำหนดวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 30 เมษายน 2568 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน บริษัทได้รับการประเมิน CGR ระดับ "ดีเลิศ" (5 ดาว) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) รวมถึงติดอันดับ Top Quartile ในการสำรวจด้านการกำกับดูแลกิจการนอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืนในโครงการ SET ESG Ratings จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในระดับ A ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนถึงการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับแผนธุรกิจของบริษัท คาดผลงานในปี 2568 จะเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากกลุ่มบรรจุภัณฑ์และฉลาก และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม บริษัทยังคงเดินหน้าขยายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Business) ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 9%

พร้อมกลยุทธ์ Tech Ecosystem Builder โดยมุ่งเน้นการปรับแผนธุรกิจของบริษัทฯมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการพัฒนานวัตกรรมด้านระบบสารสนเทศ และได้ปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มบริษัทฯให้เกิดผลผนึกทั้งด้านการพัฒนาตลาดและผลิตภัณฑ์ และด้านการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยรวมสำหรับรักษาฐานธุรกิจเดิมควบคู่ไปกับการหาพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่

ขณะที่ผลประกอบการของ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เชื่อว่าจะเห็นผลประกอบการที่ดีในปีนี้ จากกลยุทธ์การบริหารงานที่มีศักยภาพและปัจจัยบวกที่เป็นโอกาสต่างๆ คาดว่า ในปี 2568 ซินเน็คฯ จะทำรายได้เติบโตกว่าปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 10%