ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปี 2567 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ หรือ VONB อยู่ที่ 3,326 ล้านบาท อัตรากำไรของธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 63.7% เป็นผลจากการวางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสสองเพิ่มขึ้นถึง 10.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2,770 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรในช่วง 6 เดือนแรกสูงถึง 5,902 ล้านบาท หรือเติบโต 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน) ของปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 3,326 ล้านบาท โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) เพิ่มขึ้นถึง 6.1 จุด หรือมีอัตราสูงถึง 63.7% และมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 40,508 ล้านบาท
บริษัทฯ ยังคงรักษามูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ได้อย่างดี ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการขยายตลาดผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย โดยมีช่องทางการขายหลัก คือ ช่องทางตัวแทนประกันชีวิต และช่องทางพันธมิตร
ในไตรมาสที่สองของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของกำไรสุทธิเป็นผลจากกำไรจากการรับประกันภัยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.6% อยู่ที่ 5,902 ล้านบาท โดยบริษัทฯ สามารถทำกำไรจากการรับประกันภัยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เติบโตถึง 16.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มูลค่าพื้นฐานของกิจการ หรือ Embedded Value (EV) ของบริษัทฯ มีมูลค่า 158,218 ล้านบาท เทียบเท่ากับมูลค่า 13.8 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 351% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านการลงทุน บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 สินทรัพย์ลงทุนมากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เป็นเงินลงทุนประเภทตราสารหนี้
นอกเหนือจากการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) และสามารถตอบสนองความต้องการได้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized)
ไทยประกันชีวิตจึงได้นำเทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ในรูปแบบ Smart Life ให้กับลูกค้า โดยพัฒนาแอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต (TLI Application) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์ และการทำธุรกรรมด้านประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการชำระเบี้ยประกันภัย การเคลมสินไหม การรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ ฯลฯ รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ฟีเจอร์ My Wellness Vital Scan การเช็กสุขภาพเบื้องต้นด้วยการใช้ AI สแกนใบหน้า ฟีเจอร์การจัดการกรมธรรม์คนในครอบครัว ที่สามารถดูข้อมูลกรมธรรม์และชำระเบี้ยฯ ให้กับคนในครอบครัวได้ รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ผ่านไทยประกันชีวิต Privilege
นายไชยกล่าวว่า ไทยประกันชีวิตมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย จึงได้นำแนวทาง ESG ผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ครอบคลุมทั้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนจากรางวัลและการคัดเลือกต่างๆ ที่บริษัทฯ ได้รับ อาทิ ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 ของสถาบันไทยพัฒน์, รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2024 (AREA 2024) สาขา Corporate Sustainability Reporting และรางวัลตราสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืนระดับทองคำ จาก Enterprise Asia ประเทศสิงคโปร์ และอาคารไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา หรือ LEED ระดับ Gold จาก U.S. Green Building Council (USGBC) & Green Business Certification Institute (GBCI) อีกด้วย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit