บลจ.ทิสโก้เชียร์ซื้อกองทุนเปิด ทิสโก้ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอ็กซ์ ไชน่า (TEMxCH) รับอานิสงส์ธนาคารกลางสหรัฐฯ จ่อปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจอ่อนค่า และกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน กลุ่มประเทศที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของโลก ด้วยผู้บริโภควัยแรงงานจำนวนมาก และเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิต 'ชิป' เบื้องหลังธุรกิจ AI อุตสาหกรรมแห่งอนาคตของโลก
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้มองว่าช่วงนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอ็กซ์ ไชน่า (TEMxCH) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เพราะศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าในไตรมาส 4/2567 นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้ง อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg พบว่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีน (ดัชนี MSCI EM Ex China) สร้างผลตอบแทนเป็นบวกสวนทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มาโดยตลอด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่นจากจำนวนประชากรวัยทำงานที่มากเป็นอันดับ 1 ของโลกส่งผลให้มีกำลังการบริโภคสูง อีกทั้งเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นผู้ผลิตชิปซึ่งเป็นเบื้องหลังของธุรกิจ AI ที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของโลก รวมถึงเป็นกลุ่มประเทศส่งออกทรัพยากรธรรมชาติและเป็นฐานการผลิตใหม่ของโลกอีกด้วย
กองทุน TEMxCH ลงทุนใน Invesco Emerging Markets ex-China Equity Fund Class C-Acc (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือมีการดำเนินธุรกิจหลักอยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งไม่รวมประเทศจีน โดยข้อมูลจาก Invesco Emerging Markets ex-China Equity Fund Class C- Acc FFS ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 พบว่า กองทุนหลักเน้นลงทุนในธุรกิจที่โดดเด่นในแต่ละตลาด เช่น ลงทุนในธุรกิจธนาคารของประเทศอินเดียที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ลงทุนในธุรกิจ semiconductor ในเกาหลีและไต้หวัน เป็นต้น
ตัวอย่างบริษัทที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 พบว่า 3 อันดับแรกคือ 1. Taiwan Semiconductor Manufacturing บริษัทผู้ผลิตชิปชั้นนำของโลก เพราะสามารถผลิตชิปขนาดเล็ก 3nm ที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ต้องการของธุรกิจผลิตภัณฑ์มือถือและ Data Center โดยนักวิเคราะห์คาดว่ารายได้ของชิปขนาด 3 ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นกว่า 25% ของรายได้ทั้งหมดใน 5 ปีข้างหน้า และคาดว่ารายได้จากธุรกิจ Data Center AI จะแตะระดับ 23% ในปี 2571 2. Samsung Electronics ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าจากเกาหลี ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าในอนาคตรายได้ส่วนชิปหน่วยความจำต่างๆ ที่บริษัทผลิตจะได้รับความนิยมมากขึ้นจากการเข้ามาของ AI
3. SK hynix Inc. บริษัทผลิตชิปหน่วยความจำ (Memory Chip) ของเกาหลีใต้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รายได้หลักของบริษัทมาจากการขายชิป Memory 2 ชนิด ได้แก่ NAND (ชิปหน่วยความจำ) และ DRAM (ชิปประมวลผล) ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทคือ Apple และ Nvidia เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทถือครองส่วนแบ่งตลาด Memory ทั้ง 2 ชนิดเป็นอันดับ 2 ทั้งคู่เป็นรองเพียง Samsung และ 4. HDFC Bank ธนาคารเอกชนใหญ่ที่สุดในอินเดีย ที่มีสินเชื่อและเงินฝากของอินเดียกว่า 60% อยู่ในธนาคาร ผลประกอบการโตแข็งแกร่งตามสัดส่วนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของกลุ่มมนุษย์เงินเดือนในประเทศ
กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit