ปัญหาการเกิดสิวและหลุมสิวยังคงเป็นปัญหาผิวพรรณที่กวนใจหลายคนเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอก การเกิด Adult Acne หรือสิวในวัยผู้ใหญ่นั้นเริ่มเป็นกันมากขึ้น โดยมีจำนวนถึง 40% ของผู้ใหญ่อายุ 18-44 ปีทั่วโลก การเกิดสิวขึ้นบ่อย ๆ และไม่ได้รับการดูแลรักษาสิวที่ถูกวิธี ก็จะทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน
ซึ่งผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวควรต้องรู้เพื่อประโยชน์ของการเข้ารักษาอย่างถูกวิธี ว่าตนเองเป็นสิวประเภทไหนและควรเข้ารักษาด้วยวิธีใดจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แพทย์หญิงพัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง (Board-Certified Dermatologist) EY CLINIC กล่าวว่า "หลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ตามลักษณะการเกิด คือ หลุมสิวแบบจิก (Ice Pick) เป็นหลุมลึกและแคบ เกิดจากการอักเสบของสิวที่รุนแรงจนทำให้เนื้อเยื่อในชั้นลึกของผิวถูกทำลาย แนะนำให้รักษาด้วยวิธี TCA Cross หรือการใช้กรด Trichloroacetic Acid ที่มีความเข้มข้นสูง หยดลงในหลุมสิวโดยตรงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ควบคุมและสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มหลุมสิวจากภายในขึ้นมา แต่อาจจะทำให้เกิดรอยแดงหรือแผลตกสะเก็ดบริเวณที่รักษา ซึ่งจะหายไปภายใน 7-10 วัน ต้องทำการรักษาประมาณ 2- 6 ครั้งจึงจะเห็นผล อีกวิธีคือการรักษาด้วย Fractional CO2 Laser เป็นการใช้เลเซอร์ความถี่สูงเพื่อเจาะทะลุผิวในลักษณะจุดเล็ก ๆ หลายพันจุดในบริเวณหลุมสิว ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในผิวได้ แต่ก็จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นหรือรอยด่างขาว หากทำไม่ถูกวิธีหรือทำในผู้ที่มีผิวคล้ำ และหลังการรักษาจะต้องดูแลผิวอย่างเคร่งครัดโดยหลีกเลี่ยงจากการโดนแดดและให้ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอด้วย
ส่วนหลุมสิวประเภทต่อมา หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar) คือหลุมสิวที่มีลักษณะตื้นและรอยหลุมกว้าง ขอบหลุมคมชัดเจน เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิวหลังการอักเสบของสิว วิธีการรักษาจะเน้นไปที่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวฟื้นตัวขึ้น เช่น Fractional RF (Venus Viva MD) เป็นเทคโนโลยีที่ส่งคลื่นวิทยุเข้าสู่ผิวหนังเพื่อสร้างจุดเล็ก ๆ ทำให้เกิดความร้อนที่ชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวทั้งแบบตื้นและลึก อีกวิธีคือ Subcision เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวที่มีความลึก โดยใช้เข็มขนาดเล็ก ตัดเส้นใยพังผืดที่ดึงผิวให้เป็นหลุม ซึ่งช่วยให้หลุมสิวที่ลึกมากฟื้นตัวและดูตื้นขึ้น อาจมีอาการช้ำหรือบวมหลังการรักษา ซึ่งจะหายไปใน 1-2 สัปดาห์ และวิธีการสุดท้ายคือ Biostimulators เป็นการรักษาโดยการฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับผิว เช่น Juvelook ทำให้ผิวเรียบเนียนและดูเต็มขึ้น โดยจะเห็นผลเร็วขึ้น หรือการทำ Rejuran S ก็จะช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อผิวและลดการอักเสบ แต่อาจต้องทำการฉีดซ้ำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
และหลุมสิวประเภทสุดท้าย หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling) เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะหลุมกว้าง ขอบไม่ชัดเจน และมักมีความตื้นและลึกที่ทำให้ผิวไม่สม่ำเสมอกัน เกิดจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหดตัวหลังการรักษาสิว วิธีการรักษาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling คือ Subcision เนื่องจากลักษณะของหลุมสิวมักเกิดจากพังผืดที่ยึดติดผิวกับชั้นล่าง การใช้เข็มเล็กเพื่อปลดพังผืดเหล่านี้จะช่วยให้ผิวตื้นขึ้นและเรียบเนียนมากขึ้น และอาจเพิ่มการใช้ Biostimulators เช่น Juvelook หรือ Rejuran S หลังจากทำ Subcision ก็จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติม และช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูเรียบเนียนและสดใสมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคและเครื่องมือการรักษาเฉพาะอื่น ๆ ซึ่งแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีการรักษาให้กับเรา การรักษาหลุมสิวในแต่ละครั้งจะดีขึ้น 20 - 30% แต่ถ้ารักษาอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีโอกาสดีขึ้นถึง 90% เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน โดยเราควรเลือกคลินิกที่มีความพร้อมในการรักษาและมีเครื่องมือที่ทันสมัย จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และเกิดความปลอดภัยแก่ตัวเรามากที่สุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว" หมอผึ้ง กล่าวทิ้งท้าย
หมอผึ้งยังกล่าวถึงความน่ากังวลเกี่ยวกับผู้มีปัญหาหลุมสิวว่า "ปัญหาหลุมสิวที่เกิดจากการดูแลผิวไม่ถูกวิธีกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นในช่วงอายุ 18-30 และยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่หลายคนคิดไม่ถึง เช่น สารเคมีตกค้างในอาหารและเครื่องดื่ม มลภาวะทางอากาศ ที่ทำให้หลายคนเป็นสิวในวัยผู้ใหญ่ รวมทั้งสิวตามร่างกายมากขึ้น โดยหลังจากการรักษาสิวเราอาจต้องรักษาเรื่องหลุมสิวควบคู่กัน ซึ่งยิ่งต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางในการดูแลรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัยที่สุด"
ข่าวดีสำหรับผู้ที่สนใจเข้าไปปรึกษาและรับบริการดูแลรักษาปัญหาสิวที่ EY CLINIC คลินิกเฉพาะทางด้านการดูแลผิวพรรณ สิว หลุมสิว และ Anti-aging ได้ต่อยอดความสำเร็จขยายสาขาสู่ใจกลางเมืองสาขาที่ 2 กับ EY CLINIC สาขาทองหล่อ ตั้งอยู่ในอาคารฟิฟตี้ ฟิฟท์ ทองหล่อ (Fifty Fifth Thonglor) ชั้น 1 ซอยสุขุมวิท 55 พร้อมการเดินทางที่สะดวกสบาย ห่างจากจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ทองหล่อ เพียง 400 เมตรเท่านั้น ติดต่อสอบถามหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE@: eyclinicTH เว็บไซต์ www.eyclinic.com และช่องทางโซเชียลมีเดียทั้ง Facebook, Instagram หรือโทรศัพท์ติดต่อที่หมายเลข 061-594-1923 ทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00 - 20.00 น.
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit