นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นนั้น ส่งผลให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ KTAM สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯ จึงได้ประกาศจ่ายปันผลและจ่ายลดทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกันในวันที่ 20 มีนาคม 2567 นี้
กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ลงทุนในสัญญาโอนสิทธิในรายได้จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ของบริษัทผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด (หรือ KPP ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มน้ำตาลครบุรี) โดยโรงไฟฟ้านี้เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล ใช้กากอ้อยซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากการผลิตน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงหลัก กองทุนได้เข้าลงทุนในกระแสรายได้ของ KPP ซึ่งมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกลุ่มน้ำตาลครบุรี โดยสัญญาเข้าลงทุนมีระยะเวลาถึงปี 2582 หรืออีกประมาณ 16 ปี ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทุนได้รับรายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอแม้แต่ในช่วงสถานการณ์ Covid จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหากระแสรายได้จากทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน สำหรับผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 -31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 14 ในอัตรา 0.1760 บาทต่อหน่วย
อีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ที่ลงทุนในสิทธิในรายได้ 45% ของรายได้ค่าผ่านทางสุทธิ ที่จัดเก็บได้จากโครงการทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ซึ่งบริหารโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) สัญญามีระยะเวลาคงเหลือประมาณ 24 ปี (สิ้นสุดปี 2591) นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการปรับขึ้นค่าผ่านทาง กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหาทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีรายได้เติบโตตามภาวะเงินเฟ้อ และการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการทางพิเศษทั้งใน 2 เส้นทางนี้ สำหรับผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 -31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 21 ในอัตรา 0.1039 บาทต่อหน่วย
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) เป็นกองทุนที่ลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ของ กฟผ. สำหรับผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 -31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 32 ในอัตรา 0.1069 บาทต่อหน่วย และจ่ายลดทุนครั้งที่ 12 ในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย รวมเป็นจ่ายปันผลและลดทุน จำนวน 0.2069 บาทต่อหน่วย
สำหรับกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซีพี ทาวเวอร์ โกรท (CPTGF) เป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกที่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมือง 3 แห่ง ได้แก่ CP Tower 1 (สีลม) CP Tower 2 (รัชดาภิเษก) และ CP Tower 3 (พญาไท) จากผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 -31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 39 ในอัตรา 0.1266 บาทต่อหน่วย และจ่ายลดทุนครั้งที่ 15 ในอัตรา 0.0514 บาทต่อหน่วย รวมเงินปันผลและลดทุน จำนวน 0.1780 บาทต่อหน่วย รวมถึงกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตลาดไท (TTLPF) ซึ่งลงทุนในโครงการตลาดไท จากรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 -31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 53 ในอัตรา 0.4875 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายปันผลจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (LPF) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 ก.ย. 2566 - 30 พ.ย. 2566 โดยจ่ายให้ผู้ถือหน่วยแล้วเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งที่ 47 ในอัตรา 0.2206 บาทต่อหน่วย
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th
คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit