KCG ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กำไรสุทธิพุ่ง 305.9 ล้านบาท โต 26.9% โชว์ความสำเร็จทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางขาย หนุนรายได้จากการขาย 7,157 ล้านบาท เปิดแผนทรานส์ฟอร์มองค์กร ขับเคลื่อนเทคโนโลยี วางเป้าหมายรายได้เติบโต 2 หลัก
'บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น' หรือ KCG โชว์ฟอร์มร้อนแรง สร้างกำไรสุทธิและรายได้จากการขายปี 2566 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับจากก่อตั้งธุรกิจในปี 2501 กวาดกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9% รายได้จากการขาย 7,157.0 ล้านบาท เติบโต 16.2% เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และช่องทางขาย B2B, B2C และส่งออก ปลื้มไฮซีซั่นดันดีมานด์ผลิตภัณฑ์ชีส เนย เบเกอรี่และบิสกิตพุ่งแรง หนุนผลดำเนินงานไตรมาส 4/2566 กำไรสุทธิรวม 141.4 ล้านบาท เติบโต 24.2% บอร์ดฯ ไฟเขียวเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาทต่อหุ้น ประกาศแผนปี 2567 ดันรายได้เติบโต Double Digits ตามเป้าหมาย
นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) บริษัทฯ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งกำไรสุทธิและรายได้จากการขาย สูงสุดในรอบ 65 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งธุรกิจ 2501 โดยมีกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9% และรายได้จากการขายอยู่ที่ 7,157.0 ล้านบาท เติบโต 16.2% เนื่องจากดีมานด์อาหารตะวันตก เนยและชีสของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ประกอบกับการวางกลยุทธ์นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาด รวมถึงมียอดขายจากบริษัท อินโดกูนา (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มขึ้น
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว นับว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จของ KCG และตอกย้ำการเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าเนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีรายได้ 4,086.5 ล้านบาท เติบโต 15.0% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีรายได้ 2,061.1 ล้านบาท เติบโต 15.3% และผลิตภัณฑ์บิสกิตมีรายได้ 1,009.3 ล้านบาท เติบโต 23.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนช่องทางการขายแก่ผู้ประกอบการ (B2B) มียอดขาย 2,892.7 ล้านบาท เติบโต 14.2% ในขณะที่ช่องทางการขายแก่ผู้บริโภค (B2C) มีรายได้ 3,938.6 ล้านบาท เติบโต 17.7% และช่องทางการส่งออกมียอดขาย 325.7 ล้านบาท เติบโต 18.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ไตรมาส 4/2566 (ตุลาคม - ธันวาคม 2566) มีรายได้จากการขาย 2,207.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% และกำไรสุทธิ 141.4 ล้านบาท เติบโต 24.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยการเติบโตมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมอาหารตะวันตก เนย ชีส เบเกอรี่ และบิสกิต จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาภายในประเทศ สนับสนุนให้ช่องทางการขายแก่ผู้ประกอบการ (B2B) มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยมียอดขาย 802.2 ล้านบาท เติบโต 8.8% ส่วนช่องทางการขายแก่กลุ่มผู้บริโภค (B2C) มียอดขาย 1,302.5 ล้านบาท เติบโต 17.4% มาจากการบริโภคอาหารตะวันตกและเบเกอรี่ รวมถึงการซื้อผลิตภัณฑ์บิสกิตเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2566 ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีรายได้ 1,135.0 ล้านบาท เติบโต 9.5% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีรายได้ 578.5 ล้านบาท เติบโต 11.4% และผลิตภัณฑ์บิสกิตมีรายได้ 493.5 ล้านบาท เติบโต 31.5% ส่วนช่องทางการส่งออกมีรายได้ 102.3 ล้านบาท เติบโต 22.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/2566 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 32.7% โดยมีปัจจัยจากราคาต้นทุนวัตถุดิบลดลง ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) 53.4% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 นี้ โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน 2567 ต่อไป
นายดำรงชัย กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 2567 บริษัทฯ จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด และเดินหน้าสร้างยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมกับมุ่งเน้นการเติบโตของลูกค้าหลักทั้งช่องทางการขายกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) และช่องทางการขายกลุ่มผู้บริโภค (B2C) รวมถึงการขยายตัวของการส่งออก พร้อมกับทรานส์ฟอร์มองค์กร โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ขับเคลื่อนองค์กร (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการทำงานให้มีความแม่นยำ รวดเร็ว และลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบกับการเริ่มใช้ KCG Logistics Park ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าในช่วงปลายไตรมาส 1/2567 ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง สอดรับกับจังหวะภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารตะวันตก เนยและชีส ปี 2567 ที่มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก โดยวางเป้าหมายการเติบโตปี 2567 เป็นตัวเลข 2 หลักหรือ Double Digits
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit