สทนช. จับมือทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝนปีนี้ โดยเฉพาะช่วงเดือน ส.ค. - ก.ย. 67 ซึ่งคาดว่าจะมีฝนตกหนักและมีโอกาสเกิดพายุ 1-2 ลูก โดยเน้นย้ำเรื่องการแจ้งเตือนภัยและการบริหารจัดการน้ำแต่ละอ่างให้สัมพันธ์กันในทุกลุ่มน้ำ
วันนี้ (29 พ.ค. 67) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำประจำสัปดาห์ ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยรองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยผลการประชุมว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว โดยที่ผ่านมามีฝนตกมากในบางแห่งจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 - 27 พ.ค. 67 พบว่า มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่ง ทั่วประเทศ รวม 1,078 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้สถานการณ์ในภาพรวมดีขึ้นตามลำดับ และคาดว่าในระยะนี้จนถึงกลางเดือน มิ.ย. 67 จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก จากนั้นฝนจะเริ่มกลับมาตกชุกหนาแน่นอีกครั้งในช่วงเดือน ส.ค. - ก.ย. 67 โดยจะมีฝนตกหนักและหนักมากในหลายพื้นที่ ประกอบกับคาดว่าจะมีโอกาสเกิดพายุในประเทศไทยประมาณ 1 - 2 ลูก ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอุทกภัยได้ในบางพื้นที่ สทนช. จึงได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า โดยในวันนี้ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันการบูรณาการข้อมูลให้มีความแม่นยำสูง เพื่อนำไปสู่ระบบการแจ้งเตือนภัยที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยสร้างใช้เครือข่ายการสื่อสารที่แพร่หลายเข้าถึงพื้นที่ รวมถึงการวางแผนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและบรรเทาให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายน้อยที่สุด
พร้อมกันนี้ ได้มีการเตรียมพร้อมพื้นที่ว่างในอ่างฯ ที่มีความเสี่ยงจะมีปริมาณน้ำมากเกินเกณฑ์ เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนบางลาง เขื่อนลำปาว เขื่อนวชิราลงกรณ ฯลฯ โดยทยอยระบายน้ำออกจากอ่างฯ เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝน ป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนหากเกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก แต่จะยังคงเหลือปริมาณน้ำสำรองไว้เพียงพอในกรณีหากมีปริมาณฝนตกน้อยกว่าที่คาดการณ์ ทั้งนี้ สำหรับอ่างฯ บางแห่งที่มีปริมาณน้ำน้อย เช่น เขื่อนสิริกิติ์ ฯลฯ ได้มีการปรับลดการระบายน้ำลงเพื่อกักเก็บน้ำสำรองไว้ให้เพียงพอสำหรับฤดูแล้งหน้า ทั้งนี้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในอ่างฯ ทุกแห่งอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชม. และมีการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด พร้อมกันนี้ ได้มีการติดตามข้อมูลค่าความชื้นในดินจากแผนที่ของ GISTDA รวมถึงพื้นที่ที่ยังมีปริมาณน้ำคงค้างอยู่จากฝนที่ตกในระยะที่ผ่านมา เพื่อเร่งพร่องน้ำออกจากจุดต่าง ๆ และขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร ฯลฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ได้มีการเร่งตรวจสอบสภาพของตลิ่งและแนวคันกั้นน้ำเพื่อให้มีความแข็งแรงและปลอดภัยมากที่สุด
"จากสถานการณ์ฝนตกในช่วงระยะที่ผ่านมาส่งผลให้ปัญหาภัยแล้งคลี่คลายลงแล้วในทุกพื้นที่ โดยขณะนี้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานคาดการณ์สภาพอากาศ ไปจนถึงหน่วยงานแจ้งเตือนภัย และหน่วยงานปฏิบัติต่าง ๆ ได้บูรณาการร่วมกันในการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝนอย่างเต็มที่ โดยจะมีการใช้กลไกในการบริหารจัดการน้ำแบบรายลุ่มน้ำให้สัมพันธ์กัน เช่น ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยบ่อยครั้ง อาทิ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จะมีการบริหารจัดการน้ำร่วมกันระหว่างลุ่มน้ำมูลและลุ่มน้ำชี เป็นต้น โดยสำหรับการระบายน้ำจะเป็นการเร่งระบายอย่างต่อเนื่องไม่ให้มีปริมาณน้ำค้างอยู่ที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ซึ่งจะมีการหารือและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ต่าง ๆ สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์แล้ว โดยให้มีการบูรณาการร่วมกันเพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด" รองเลขาธิการ สทนช. กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit