เต็ดตรา แพ้ค เปิดตัวโซลูชันด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้น้ำและพลังงานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทย

12 Jun 2024

เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำด้านโซลูชันการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก เปิดตัวโซลูชันใหม่ในชื่อ "Factory Sustainable Solutions" หรือ  "โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน" นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและน้ำ รวมไปถึงระบบการทำความสะอาดในไลน์การผลิต หรือ ระบบ cleaning-in-place (CIP)

เต็ดตรา แพ้ค เปิดตัวโซลูชันด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้น้ำและพลังงานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทย

"โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน" เป็นบริการใหม่ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนของเต็ดตรา แพ้ค ที่นำเสนอการบูรณาการนวัตกรรมเทคโนโลยีให้เข้ากับการดำเนินงานของโรงงานผลิตเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับท้องถิ่นและทั่วโลก ในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดการพลังงานและทรัพยากร เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและบรรลุถึงเป้าหมายด้านความยั่งยืน

อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนสำคัญอย่างมากในภาคเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยคิดเป็น 23% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ต้องอาศัยก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า น้ำมัน และถ่านหิน จึงมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมในประเทศถึง 4.48%[1]

ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ และเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 74% ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ยังได้วางแผนที่จะนำเอากลไกการกำหนดราคาคาร์บอนมาใช้ เช่น การจัดเก็บภาษีคาร์บอนสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ผู้ผลิต และผู้นำเข้า ซึ่งระบุอยู่ในร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[2]

ทั้งนี้ ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ต้องเผชิญกับแรงกดดันในการปรับเปลี่ยนทางเลือกในการใช้พลังงานจากฟอสซิล[3]มาเป็นพลังงานหมุนเวียน ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านมาสู่วิธีที่ยั่งยืนกว่ามักจะมาพร้อมกับต้นทุนการดำเนินงานและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และยังไม่นับรวมถึงระบบการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (CO2)  ที่ทำให้ผู้ผลิตในอุตสากรรมอาหารและเครื่องดื่ม จำเป็นต้องมองหาโซลูชันใหม่ ๆ ในกระบวนการผลิตและซัพพลายเชน เพื่อรับมือกับความท้าทายในการลดต้นทุนการผลิต[4]

"โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน" ของเต็ดตรา แพ้ค เป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์กับทั้งโครงสร้างของระบบการผลิตในทุกขั้นตอน สามารถต่อยอดในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต และยังช่วยให้ผู้ผลิตสามารถลดการใช้และนำทรัพยากรต่างๆ กลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น น้ำ พลังงาน และ สารเคมี เพื่อสร้างระบบการจัดการทรัพยากรที่เหมาะสมและสอดคล้องกับมาตรฐานด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว[5]และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ[6]

ทีมงานเต็ดตรา แพ้คที่ดูแล "โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน" ยังพร้อมช่วยเหลือและให้การสนับสนุนลูกค้าในการคัดสรรเทคโนโลยีและโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการ และพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวสำหรับการออกแบบและติดตั้งไลน์การผลิตให้ตรงตามความต้องการ และเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ พลังงาน และกระบวนการทำความสะอาดภายในระบบการผลิต (CIP) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีขั้นสูงที่ "โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน" นำเสนอ เช่น

  • Nanofiltration เป็นการกรองน้ำยาทำความสะอาด (ด่าง) ที่ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดภายใน (CIP) กลับมาใช้ใหม่ โซลูชันนี้คิดค้นขึ้นโดยเต็ดตรา แพ้ค เพื่อช่วยนำสารเคมีทำความสะอาดและน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งเมื่อคิดรวมแล้วสามารถลดน้ำทิ้งจากระบบ CIP ได้มากถึง 90%[7]
  • Reverse Osmosis เป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีการกรองด้วยเมมเบรนที่พัฒนาและถือกรรมสิทธิ์เฉพาะโดยเต็ดตรา แพ้ค เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรตามโจทย์ที่หลากหลาย เช่น การแยกชั้นของนมหรือการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่

นอกจากนี้ เต็ดตรา แพ้ค ยังร่วมมือกับพันธมิตรด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์โซลูชันอีกมากมาย เช่น

  • HighLift(TM) heat pump technology เทคโนโลยีปั๊มความร้อน HighLift(TM) จากการร่วมพัฒนากับบริษัท Olvondo Technology A/S เทคโนโลยีนี้ออกแบบมาเพื่อบูรณาการเข้ากับระบบการทำงานของเครื่องจักรเพื่อนำความร้อนที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยสามารถนำมาผลิตเป็นไอน้ำเพื่อใช้ต่อภายในโรงงานได้ ตัวอย่างเช่น เครื่อง Tetra Pak Direct UHT ที่มีความดันสูงถึง 10 บาร์
  • High temperature heat pumps ระบบปั๊มความร้อนอุณหภูมิสูง จากการร่วมพัฒนากับบริษัท Johnson Controls ระบบปั๊มความร้อนอุณหภูมิสูงช่วยนำพาความร้อนที่ผ่านการใช้งานแล้วส่งต่อไปใช้งานใหม่ในส่วนอื่น ๆ ของโรงงาน
  • Solar thermal collectors เครื่องเก็บความร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ จากการร่วมพัฒนากับบริษัท Absolicon โดยกักเก็บความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียน เพื่อจ่ายน้ำร้อนและไอน้ำในอุณหภูมิที่มากกว่า 150?C ทำให้เครื่องเก็บความร้อนพลังงานแสงอาทิตย์นี้เหมาะกับการใช้งานในระบบ UHT

สเตฟาโน วิตเตอร์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Olvondo Technology A/S กล่าวว่า "เรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงที่เต็ดตรา แพ้ค กำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ โดยเทคโนโลยีปั๊มความร้อน HighLift(TM) ที่รวมอยู่ในโซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน ช่วยให้ เต็ดตรา แพ้ค นำเสนอโซลูชันเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

เฟรดริก นอร์บอม ผู้อำนวยการสำนักงานสวีเดน บริษัท Johnson Controls System and Service AB กล่าวเสริมว่า "การใช้ความร้อนเป็นสองในสามของการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล[8] เทคโนโลยีปั๊มความร้อนเมื่อรวมกับการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบหมุนเวียนจะสามารถทำความร้อนในระบบการผลิตได้โดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Net Zero) เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ เต็ดตรา แพ้ค ในการพัฒนาโซลูชันสำหรับอาคารอัจฉริยะ เพื่อให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมุ่งสู่ก้าวสำคัญในการลดการปล่อยมลพิษด้วยเช่นกัน"

ซามีร์ เอล อทาซี ผู้อำนวยการฝ่ายโพรเซสซิ่ง บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การเปิดตัวโซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงานถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับเต็ดตรา แพ้ค โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ขณะที่เรามุ่งมั่นในการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรและไลน์การผลิตให้เหมาะสม เราได้ตระหนักถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของการนำวิธีการเช่นนี้ไปใช้ในระดับโรงงานจากการวางแนวทางแบบองค์รวมมากขึ้นเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงานเป็นพัฒนาการที่เกิดจากความเชี่ยวชาญของเรา ซึ่งครอบคลุมทั้งในด้านน้ำ พลังงาน และระบบ CIP โดยการนำเสนอโซลูชันที่ออกแบบมาเฉพาะเสริมเข้ากับความรู้ด้านการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่กว้างขวางของเรา การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยให้เราสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยในการเพิ่มขีดความสามารถสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน และลดต้นทุนการดำเนินงานไปพร้อม ๆ กันด้วย"

ฟิโอน่า ลีเบเฮนซ์ รองประธานฝ่ายอุปกรณ์หลัก โซลูชันสำหรับโรงงานและการบริหารช่องทางการขาย ของ เต็ดตรา แพ้ค กล่าวว่า "เราภูมิใจในทีมงาน เรารู้ว่าลูกค้าของเราอยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งนับเป็นความท้าทายที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินงานในอนาคตของหลาย ๆ บริษัท จากการทำงานร่วมกับลูกค้าและทำความเข้าใจถึงความต้องการรวมถึงวัตถุประสงค์ของแต่ละบริษัท เราจึงสามารถนำเสนออุปกรณ์เครื่องจักรที่เหมาะกับโจทย์ของลูกค้าแต่ละราย ผนวกเข้ากับความรู้ในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มแบบองค์รวมของเราในการจัดการกับความท้าทายดังกล่าว ซึ่งต้องเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้และวัดผลได้เป็นตัวเงิน"

โซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงาน เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกที่พร้อมบริการให้คำปรึกษา โดยเป้าหมายของ เต็ดตรา แพ้ค อยู่ที่การพัฒนาและขยายบริการโซลูชันนี้ไปยังทุกตลาด เพื่อสนองตอบความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของลูกค้าของเรา

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านความยั่งยืนสำหรับโรงงานของเต็ดตรา แพ้ค ได้ที่ www.tetrapak.com/solutions/integrated-solutions-equipment/factory-sustainable-solutions

 

[1] ASEAN Low carbon energy program, Energy efficiency guidance for the food & beverage sector across Malaysia, Myanmar, Philippines, Thailand

[2] Thailand Climate Change Act, Ministry of Natural Resources and Environment

[3] A substantial portion of the energy used in food and beverage manufacturing comes from fossil fuels, primarily natural gas, according to the Food & Drink Federation's "Achieving Net Zero: A Handbook For The Food And Drink Sector

[4] BCG, "The CEO's Guide to Costs and Growth", March 2024 https://www.bcg.com/publications/2024/what-leaders-are-saying-about-costs-and-growth

[5] McKinsey & Company, Operations-driven Sustainability, August 2020, https://www.mckinsey.com/capabilities/operations/our-insights/operations-driven-sustainability

[6] IEA (2022), Global Methane Tracker 2022, IEA, Paris https://www.iea.org/reports/global-methane-tracker-2022, Licence: CC BY 4.

[7] Resource-saving filtration solutions | Tetra Pak Global

[8] IEA (2018), Clean and efficient heat for industry  - Clean and efficient heat for industry - Analysis - IEA