วาย.เอส.เอส.' โช้คอัพแบรนด์ไทยขวัญใจนักแข่งระดับโลก ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO เดินหน้าเข้าจดทะเบียนใน SET

09 May 2024

'บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)' หรือ 'YSS' เป็นผู้ค้นคว้า วิจัย พัฒนา และเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายโช้คอัพประสิทธิภาพสูงชั้นนำระดับโลกของไทย ภายใต้แบรนด์ 'YSS' ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 160 ล้านหุ้น ชูศักยภาพผู้นำด้านระบบกันสะเทือนประสิทธิภาพสูงมาตรฐานสากล โดย YSS ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้า ABE จากเยอรมนี ที่นักแข่งระดับโลกในการแข่งขันระดับนานาชาติหลากหลายรายการเลือกใช้ โดย YSS มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า 8,000 รายการ ครอบคลุมยานยนต์ชนิดต่างๆ กว่า 3,000 รุ่น

วาย.เอส.เอส.' โช้คอัพแบรนด์ไทยขวัญใจนักแข่งระดับโลก ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO เดินหน้าเข้าจดทะเบียนใน SET

นายภิญโญ พานิชเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ค้นคว้า วิจัย พัฒนา และเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายโช้คอัพประสิทธิภาพสูง (High-Performance) ชั้นนำระดับโลกของไทยสำหรับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ 'YSS' ที่ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้า Allgemeine Betriebserlaubnis (ABE) จากสถาบัน Kraftfahrt-Bundesamt (KBA) - Federal Motor Transport Authority จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับสำหรับการผลิตสินค้ายานยนต์ระดับสากล (World Class Suspension) นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ยังได้รับความไว้วางใจจากนักแข่งระดับโลกในการการแข่งขันระดับนานาชาติหลากหลายรายการ (World Champion Product) ) เช่น แชมป์ผู้ชนะการแข่งขันรายการ World Supersport 300 ต่อเนื่องติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2566, รายการ CIV ITALIAN Championship DUCATI V4R ในปี 2566, รายการ World Supersport 600 ในปี 2567 โดยบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ที่ 'มุ่งสู่การเป็นผู้นำการพัฒนาและผลิตระบบกันสะเทือนระดับโลก สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า'

บริษัทฯ มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศรวม 8 แห่ง ได้แก่ ไทย เนเธอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เยอรมนี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยมีประสบการณ์ด้านวิจัยและพัฒนากว่า 30 ปี ปัจจุบันผลิตและจำหน่ายสินค้ามากกว่า 8,000 รายการ ครอบคลุมสินค้ารถจักรยานยนต์ รถยนต์ เอทีวี ยูทีวี และยานยนต์ชนิดต่างๆ กว่า 3,000 รุ่น ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าตั้งแต่การขับขี่บนท้องถนนจนถึงสนามแข่งขันในระดับโลก นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เสริมสำหรับช่วงล่างและการซ่อมบำรุงโช้คอัพ เช่น สปริง, น้ำมันโช้ค (Shock Fluid & Fork Fluid), ชุดซ่อม (Repair Kit), ชุดติดตั้ง (Mounting Kit) เป็นต้น รวมทั้งบริการหลังการขาย อาทิ บริการติดตั้ง ปรับแต่งและตรวจเช็คสภาพผ่านศูนย์ให้บริการของบริษัทฯ และผู้ให้บริการภายนอก (Service Center) และบริการการเคลมสินค้าผ่านศูนย์บริการตัวแทนโดยผู้ให้บริการภายนอก

ทั้งนี้ บริษัทฯ แบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ (MOTO) ผลิตภัณฑ์โช้คอัพสำหรับรถจักยานยนต์ของบริษัทฯ ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการใช้งานของจักรยานยนต์หลากหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ รวมทั้งครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน ได้แก่ รถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน (Racing Motorcycle) รถจักรยานยนต์ทั่วไป (Road Motorcycle) รถจักรยานยนต์แบบออฟโรด (Offroad Motorcycle) และรถจักรยานยนต์แบบสกู๊ตเตอร์ (Scooter) 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ (AUTO) บริษัทฯ ได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โช้คอัพสำหรับรถยนต์หลากหลายรูปแบบครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย ได้แก่ รถยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน (Racing Car) รถยูทีวี หรือ Utility Task Vehicle รถเก๋ง (Passenger Car) รถพีพีวี หรือ Pick-Up Passenger Vehicle และรถกระบะ (Pick-Up)

บริษัทฯ มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ (Distributor/ Dealer) ช่องทางออนไลน์ และช่องทางโชว์รูม โดยบริษัทฯ ส่งออกโช้คอัพ YSS ไปยังตัวแทนจำหน่ายกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ญี่ปุ่น เป็นต้น

ล่าสุด บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 160,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละไม่เกิน 26.67 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยมีแผนนำเงินไปใช้ ลงทุนในเครื่องจักรและปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัย และพัฒนาสินค้าใหม่ ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในหรือต่างประเทศ ใช้ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน