บลจ.กสิกรไทย เผยเศรษฐกิจอินเดียจะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯและจีน พร้อมเสิร์ฟ Share Class ใหม่ "กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า หรือ K-INDIA-A(A)" เอาใจสายลงทุนเน้นสะสมผลตอบแทน เพื่อโอกาสทำกำไรได้มากขึ้นในระยะยาว แนะนำลงทุนเป็น Core Portfolio ในสัดส่วนประมาณ 4% ของพอร์ตการลงทุน
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า S&P Global Ratings สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจระดับโลก คาดการณ์ว่าอินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจอินเดียจัดอยู่ในอันดับ 5 รองจากสหรัฐฯ จีน เยอรมณี และญี่ปุ่น โดยปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดียให้เติบโตขึ้น ได้แก่การที่อินเดียตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลกในสินค้าหลายอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ ธ.ค. 66) ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเห็นโอกาสทำกำไรในตลาดหุ้นอินเดียและต้องการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุน จึงเพิ่ม Share Class ใหม่ ภายใต้ชื่อ กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า หรือ K-INDIA-A(A) เพื่อให้ผู้ลงทุนสร้างโอกาสสะสมผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง
นายวจนะกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-INDIA-A(A) มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Goldman Sachs India Equity Portfolio Class I Shares (Acc.) การันตีผลการดำเนินงานของกองทุนด้วย Morningstar Overall Rating 4 ดาว ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดี เติบโตสูง และเน้นเข้าซื้อหุ้นที่ราคาตลาดในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น โดยแบ่งสัดส่วนลงทุนทั้งในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก 48% และหุ้นขนาดใหญ่ 47% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนมากกว่าดัชนีชี้วัดในระยะยาว (ข้อมูล ณ พ.ย. 66)
"เศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออก ภาคบริการ และความต้องการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับการนำเทคโนโลยีดิจิตัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และการพัฒนาตลาดการเงินในประเทศ รวมถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้นจากโครงสร้างประชากร ล้วนเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจอินเดียจะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯและจีนได้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาด้านการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) พบว่าตลาดหุ้นอินเดีย (MSCI INDIA) มี Forward P/E อยู่ในระดับสูงที่ 20.6 เท่า และยังมีอัตราการขยายตัวของผลประกอบการที่ 17% อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของตลาดหุ้นอินเดียยังคงมีอยู่จากราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้น ความผันผวนของราคาน้ำมันจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเลือกตั้งอินเดียที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้" นายวจนะกล่าว
นายวจนะกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ลงทุนทั้งที่เคยลงทุนและไม่เคยลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดียสามารถเข้าลงทุนเพิ่มได้ โดยแนะนำให้ลงทุนเป็นกองทุนหลักของพอร์ต (Core Portfolio) ในสัดส่วนประมาณ 4% ของพอร์ตการลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางการลงทุนข้างต้น หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit