AI และระบบอัตโนมัติถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์ของลูกค้า ตอบสนองความต้องการเพื่อสร้างความพึงพอใจในทันทีและรวดเร็วยิ่งขึ้น แบรนด์ต่าง ๆ มีส่วนร่วมกับผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ตอบคำถาม และชี้แนะการตัดสินใจซื้อผ่าน AI และระบบอัตโนมัติทางการตลาด เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแคมเปญการตลาดได้อย่างมาก โดยช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์เฉพาะบุคคล เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอันมีคุณค่า
ในขณะที่เทคโนโลยี Big Data และขั้นตอนการเรียนรู้ของ Machine Learning พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (ซึ่งตรงข้ามกับกลยุทธ์การตลาดแบบมวลชน) จะยังคงมีบทบาทสำคัญกับบริษัททั้งขนาดใหญ่และเล็กสำหรับการทำการตลาดในปี 2567 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างผลกำไร ลูกค้าในยุคปัจจุบันคาดหวังประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะกับตนเอง ด้วยปริมาณข้อมูลที่มากมายจากแหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งร้านค้าปลีก แบรนด์สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้โดยใช้การวิเคราะห์ที่ซับซ้อน ทำให้เกิดกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น โดยที่คอนเทนต์ ผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอ และการสื่อสารจะถูกปรับให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย
หนึ่งในแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของการตลาดในปี 2567 ก็คือการพัฒนาของของ Answer Engine Optimization (AEO) ในขณะที่ Search Engine Optimization (SEO) เป็นที่รู้จักในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มานานแล้ว แต่แนวความคิดกำลังเปลี่ยนไปสู่การปรับแต่งเครื่องมือการตอบคำถาม Answer Engine Optimization (AEO) เกี่ยวข้องกับการปรับเนื้อหาออนไลน์ให้มีคำตอบชัดเจน ตรงกับคำถามของผู้ใช้ ซึ่งลึกกว่าการทำ SEO ที่เน้นการใช้คีย์เวิร์ด AEO มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่คัดกรองแล้วและนำไปตอบในกล่องคำตอบ ผลลัพธ์จากการค้นหาในตำแหน่งบนสุด และการตอบกลับแบบเสียงอัตโนมัติ
กลยุทธ์การตลาดให้ความสำคัญกับคอนเทนต์เป็นหลัก ในปี 2567 เครื่องมืออัตโนมัติและ AI จะปฏิวัติวงการการสร้างและเผยแพร่คอนเทนต์ เนื้อหาที่เน้นการมีส่วนร่วมและเล่าเรื่องสามารถดึงดูดผู้ชม สร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และแนะนำลูกค้าตลอดกระบวนการการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในแพลตฟอร์มคอนเทนต์อัตโนมัติจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความสม่ำเสมอและประสิทธิภาพ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักการตลาดและเป็นหนึ่งในเทรนด์การตลาดอันดับต้น ๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจะได้อ่านและดูคอนเทนต์ผ่านช่องทางและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์ที่เหนียวแน่นกับแบรนด์
ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่เพียงแต่สนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการเท่านั้น พวกเขาอยากเข้าใจค่านิยมที่แบรนด์ยึดมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แนวโน้มนี้ได้รับแรงกระตุ้นจากปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความอยุติธรรมทางสังคม แบรนด์จึงส่งเสริมความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนและหลักปฏิบัติด้านจริยธรรมมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากจึงมองหาแบรนด์ที่สอดคล้องแนวคิดของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้ตอกย้ำว่าการทำธุรกิจต้องสร้างความยั่งยืนและมีจริยธรรม การปรับแบรนด์ให้สอดคล้องกับค่านิยมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภค แต่ยังช่วยสร้างความภักดีและชื่อเสียงของแบรนด์ในระยะยาวอีกด้วย
การทดลองสร้างนวัตกรรมอย่างสม่ำเสมอกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขั้นสูงสุดสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน แนวทางนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นให้มีการทดลอง และส่งเสริมให้ลูกค้าและพนักงานกลายเป็นกระบอกเสียงของแบรนด์ กลยุทธ์นี้ผสานความต้องการนวัตกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องเข้ากับพลังของการสนับสนุนแบรนด์ การตลาดเชิงทดลองก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความคิดสร้างสรรค์ การใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของผู้สนับสนุนแบรนด์ เช่น ลูกค้าและพนักงานที่พึงพอใจ สามารถส่งผลให้ความพยายามทางการตลาดมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากขึ้น
การตลาดโดยใช้ Influencer จะยังคงพัฒนาต่อไป โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเข้าถึงผู้ชมเฉพาะกลุ่มและจัดหาเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น แต่เปลี่ยนจาก Macro Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากมากไปเป็น Influencer ระดับ micro และ nano ซึ่งอาจมีฐานผู้ชมจำนวนไม่มากแต่ปฏิสัมพันธ์สูง ความจริงใจและความเกี่ยวข้องเฉพาะกลุ่มจะมีความสำคัญกว่าจำนวนผู้ติดตาม นอกจากนี้ เครื่องมือที่ใช้ AI ในการระบุตัวและติดตามผลลัพธ์ของ Influencer จะปรับปรุงกระบวนการทางการตลาดให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทรนด์นี้คือการยอมรับถึงพลังของการสื่อสารที่จริงใจและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อร่วมมือกับ Influencer ที่ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น ซึ่งเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ ความภักดี และความสำเร็จทางธุรกิจ
แม้ว่าการไม่แบ่งแยกและการยอมรับความหลากหลายในทางการตลาดจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็คาดว่าจะยังคงเป็นเทรนด์สำคัญต่อไปตลอดปี 2567 แนวโน้มนี้ได้รับแรงผลักดันจากผู้บริโภคที่แสวงหาแบรนด์ที่ไม่เพียงแต่มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอ และการโฆษณา แต่ยังส่งเสริมค่านิยมที่ไม่แบ่งแยกผู้คนอย่างแท้จริง แบรนด์ที่ปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้สำเร็จมีแนวโน้มที่ไม่เพียงแต่ดึงดูดฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีอีกด้วย
แนวคิดของ Metaverse คือการสร้างความตื่นเต้น การมีส่วนร่วม และความคาดหวังในโลกดิจิทัล ใน Metaverse นักการตลาดมีโอกาสที่จะสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ดื่มด่ำ เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสมือนจริง และทำแคมเปญการตลาดตามพฤติกรรมดิจิทัลของผู้ใช้ อาณาจักรดิจิทัลนี้มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์เสมือนจริงที่ดื่มด่ำเพื่อดึงดูดลูกค้าและส่งเสริมการสร้างชุมชน ซึ่งนำไปสู่ความภักดีและการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น ในปี 2567 เราคาดว่าจะเห็นแบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาลงทุนใน Metaverse เพิ่มมากขึ้น ดึงดูดผู้ใช้หลายล้านคนและจัดแสดงศักยภาพอันกว้างใหญ่ของขอบเขตดิจิทัลใหม่นี้
เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งในปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีการตลาดที่ครอบคลุมและบูรณาการเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและ ROI สิ่งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการนำแนวทางเทคโนโลยีการตลาดแบบองค์รวมและบูรณาการมาใช้ แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศเทคโนโลยีการตลาดที่มีโครงสร้างดีสามารถปรับปรุงการดำเนินงาน เสริมสร้างความเป็นส่วนตัวของลูกค้า และพัฒนาผลตอบแทนจากการลงทุนโดยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit