เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 1 ปีของการเปิดตัว ChatGPT ขณะนี้บริษัทชั้นนำกำลังใช้ประโยชน์จาก Gen-AI ไม่เพียงแค่เพื่อขับเคลื่อนงานในระดับบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั้งทีมและแผนก เพื่อให้บรรลุการเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กรทั้งหมด
ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค แอ๊พซินท์ (Appsynth) นำขุมพลังของ Gen-AI มาปรับใช้ในทุก ๆ ส่วนขององค์กรอย่างรวดเร็ว โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการ Gen-AI ขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยรวมตัวแทนจากทุกแผนก เพื่อร่วมกำหนดแนวทางและศึกษาการนำ Gen-AI ไปใช้งานให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดในธุรกิจที่ปรึกษาดิจิทัลและการพัฒนาซอฟต์แวร์
การเปิดตัวของ ChatGPT ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ AI กลายมาเป็นเทคโนโลยีที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย มีฐานผู้ใช้งานมากถึง 180 ล้านคนในเวลาเพียงหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่สร้างฐานผู้ใช้งานได้เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีรายงานว่ามีผู้ใช้งานถึง 100 ล้านคนต่อสัปดาห์
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการตอบสนองคำสั่งของระบบ ChatGPT จะดูน่าประทับใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น ChatGPT ไม่ได้มีความเข้าใจในคำสั่งของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเพียงการจับคู่รูปแบบเพื่อให้การตอบสนองความน่าจะเป็นสูงสุด และด้วยเหตุนี้จึงอาจไม่ได้มี "ปัญญา" อย่างแท้จริง แม้ว่า ChatGPT จะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของ AI แต่ก็ยังถือว่าเป็นปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (ANI) ซึ่งหมายความว่า เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานได้เฉพาะทาง มีความสามารถทำงานที่ได้รับคำสั่งอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ตัวงานที่สามารถทำได้นั้นยังคงมีจำกัด
วิวัฒนาการขั้นถัดไปของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) คือ การที่ AI มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ในทุก ๆ ทาง หรือที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินว่า "ความเป็นเอกเทศ หรือ ภาวะเอกฐาน" ซึ่งหมายถึง จุดที่ปัญญาประดิษฐ์พัฒนาล้ำหน้าไปและสามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันนี้แม้จะมีการพัฒนาไปมากแล้ว ก็ยังนับว่าห่างไกล อย่างไรก็ดี ด้วยอัตราการลงทุนที่ไหลเข้าสู่วงการ AI ในปัจจุบัน ภาวะเอกฐาน อาจจะมาเร็วกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญเคยคาดการณ์ไว้
ในปัจจุบันแม้การใช้งาน AI จะยังคงมีข้อจำกัด แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธประโยชน์จากการใช้งาน Gen-AI ได้ เช่น สามารถเร่งการค้นคว้าวิจัยให้เสร็จเร็วขึ้น จัดระเบียบความคิด และเขียนถ้อยคำใหม่ได้อย่างรวดเร็ว การเข้าใจการใช้งาน AI ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น
ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา แอ๊พซินท์ ถือเป็นผู้นำเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทย โดยทางบริษัทฯได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำมากมาย ในการออกแบบ พัฒนา และส่งมอบแอปพลิเคชันสู่มือผู้บริโภค และยังช่วยให้องค์กรต่าง ๆ เปิดตัวธุรกิจดิจิทัลใหม่ ๆ อีกด้วย แอ๊พซินท์ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทไอทีที่เติบโตเร็วที่สุดอันดับ 1 ของไทย จากดัชนีการจัดอันดับประจำปีของ Financial Times
ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีใหม่ไปใช้งาน ทาง Appsynth กำลังดำเนินงานปรับขบวนการภายในทุกแผนก โดยนำ Gen-AI มาใช้งานในส่วนต่าง ๆดังนี้:
นายโรเบิร์ต แกลลาเกอร์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท แอ๊พซินท์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า "ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดยิ่งเร็วยิ่งดี ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทันกับคู่แข่ง และยังช่วยให้เริ่มเรียนรู้เห็นข้อมูลจริงจากการใช้งานจากผู้ใช้งาน" พร้อมเสริมว่า "Gen-AI เข้ามาช่วยย่นระยะเวลาการทำงานของเราลง ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สู่มือผู้บริโภคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ล้ำหน้าคู่แข่งในตลาดที่อาจยังไม่ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยี Gen-AI"
แม้ว่าเทคโนโลยี Gen-AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่การประเมินผลกระทบล่วงหน้าที่จะเกิดกับโครงการก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ช่วยให้การดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จมากขึ้น ด้วยทรัพยากรที่เท่ากัน สำหรับลูกค้าของแอ๊พซินท์ ที่มีทีมงานเฉพาะที่ทำงานตามเวลาและทรัพยากรที่กำหนด นั่นหมายความว่าแอ๊พซินท์ สามารถส่งมอบคุณค่าได้ในเวลาเดียวกัน และต้นทุนที่ดีขึ้นด้วย
นอกเหนือจากการบริการด้านการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันแล้ว แอ๊พซินท์ยังให้บริการให้คำปรึกษาเพื่อช่วยองค์กรปรับปรุงกระบวนการ และยกระดับความสามารถใหม่ ๆ ของทีมงาน นอกเหนือจากการใช้เทคโนโลยี Gen-AI เพื่อเร่งบริการการพัฒนาดิจิทัลหลักแล้ว แอ๊พซินท์ จะเริ่มช่วยเหลือลูกค้าในการปรับใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของ Gen-AI เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพที่คล้ายคลึงกันในองค์กรของตนเอง โดยการนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนด เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรยุคใหม่ในปัจจุบัน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit