'พรินซิเพิล' มองตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideway เปิดตัว "กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย" (PRINCIPAL CR-AI) ลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงประเภท KIKO อ้างอิงหุ้นไทยในรูปแบบกองทุนใหม่ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้น ภาวะตลาด Sideway เสนอขายครั้งแรก 7 - 15 มี.ค.นี้
บลจ. พรินซิเพิล ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้เคลื่อนไหว sideway จากปัจจัยบวกและปัจจัยลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความสมดุลกัน มองการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภท KIKO (Knock-In Knock-Out) ที่อ้างอิงกับหุ้นไทย มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้น ในภาวะตลาด sideway จับจังหวะเปิดตัว "กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย" (PRINCIPAL CR-AI) เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก 7 - 15 มีนาคม 2566 จองซื้อขั้นต่ำ 500,000 บาท โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง และตราสารอื่นๆ รวมถึงเงินฝาก ตั้งแต่ร้อยละ 0 - 100 มีอายุกองทุนประมาณ 1 ปี
นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวแบบ Sideway ไม่ได้มี upside เยอะแต่ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงติดลบรุนแรง เนื่องจากมองว่าปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากดดันภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนอยู่ในระดับที่สมดุลกัน โดยประเมินปัจจัยบวกหลักๆ ได้แก่ 1) GDP ของประเทศไทยที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 3.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่ GDP มีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.2% (ที่มา: กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF) 2) ภาคการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องโดยมีปัจจัยหนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากจีนเปิดประเทศ และ 3) การเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงกลางปีนี้ จะสนับสนุนการตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยลบที่เข้ามากดดัน ได้แก่ 1) ภาคส่งออกที่มีสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่า GDP มีแนวโน้มหดตัวจากความเสี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศที่พัฒนาแล้ว 2) นอกเหนือจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยโดยเฟดฯ แล้วนั้น ธปท.มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอีก 2 ถึง 3 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2.00% ถึง 2.25% จาก 1.5% ในปัจจุบัน 3) อัตรากำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทยที่มีความเสี่ยงจะถูกปรับลดประมาณการ จากกลุ่มบริษัทพลังงานและบริษัทภาคอุตสาหกรรมที่แนวโน้มกำไรลดลง
ดังนั้น มองว่าการลงทุนใน "หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภท KIKO (Knock-In Knock-Out)" ที่อ้างอิงกับหุ้นไทย หรือหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้นที่มีการจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาหุ้นหรือราคาหุ้นในตะกร้าหลักทรัพย์ มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้น ในภาวะตลาด sideway
บลจ. พรินซิเพิล เตรียมเปิดตัว "กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย" หรือ Principal Complex Return Fund Not for Retail Investors (PRINCIPAL CR-AI) มีทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท (Green shoe 15%) สั่งซื้อขั้นต่ำ 500,000 บาท กำหนดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 7 - 15 มีนาคม 2566 โดยกองทุนฯ มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทางการเงิน เงินฝาก โดยจะพิจารณาปรับสัดส่วนลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 - 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL CR-AI มีอายุกองทุนประมาณ 1 ปี (ตั้งแต่ 11 - 13 เดือน) นับจากวันที่จดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม โดยบริษัทจัดการจะพิจารณาเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการได้
ในช่วงครึ่งแรกของอายุโครงการ (ประมาณ 6 เดือน) นับจากวันที่จดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม กองทุนฯ มีนโยบายเน้นลงทุนแบบ "buy-and-hold" (เน้นลงทุนครั้งเดียวและถือไว้จนครบกำหนดอายุโครงการ) ในสัดส่วนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ในตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่เป็นหุ้นกู้อนุพันธ์ประเภท KIKO (Knock-In Knock-Out) ที่มีอายุตราสารสอดคล้องกับกรอบเวลาในช่วงครึ่งแรกของอายุโครงการดังกล่าว มีผลตอบแทนอ้างอิงกับหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณ 1 ถึง 2 หลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขการไถ่ถอนด้วยการส่งมอบเงินสดและหรือทรัพย์สินอื่นที่เทียบเท่าเงินสด หรือส่งมอบหุ้นอ้างอิงตามเงื่อนไขที่กำหนดของแต่ละตราสาร
ในส่วนของหุ้นอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นไทยคุณภาพ ที่อยู่ในดัชนี SET 100 มีปัจจัยพื้นฐานดีใน 6-12 เดือนข้างหน้า มุ่งเน้นหุ้นที่มี Downside จำกัด และมีโอกาสเติบโตในอนาคต อีกทั้งจัดสรรน้ำหนักการลงทุนตามสัดส่วนโดยคำนึงถึงโอกาสเกิด Knock - in และ Knock - out ของพอร์ตลงทุนและความเสี่ยงโดยรวม เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมาย ทั้งนี้กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยจำนวน 7 ตราสารเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน โดยผู้ออกตราสารจะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสามารถที่ลงทุนได้ (Investment Grade) เท่านั้น
ส่วนในช่วงภายหลังจากระยะเวลาประมาณ 6 เดือนแรก แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ 1) ตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่กองทุนเข้าลงทุนครบกำหนดไถ่ถอนโดยเข้าเงื่อนไขด้วยการส่งมอบเป็นเงินสดทั้งหมด บลจ. พรินซิเพิลจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดแบบอัตโนมัติ เพื่อคืนเงินแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนและเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ และ 2) กรณีที่ตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่กองทุนฯ เข้าลงทุนครบกำหนดอายุและได้รับมอบเป็นหุ้นอ้างอิงจากตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงใดๆ ที่กองทุนลงทุน บริษัทจัดการจะบริหารจัดการหุ้นอ้างอิงที่ได้รับมอบดังกล่าวต่อไป โดยอาจพิจารณาขายหลักทรัพย์ดังกล่าวออกบางส่วนหรือทั้งหมด รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่กองทุนเข้าลงทุนตามดุลยพินิจของบริษัทจัดการ อย่างไรก็ดีในกรณีที่กองทุนจำหน่ายหุ้นอ้างอิง ทรัพย์สินอื่นๆ ทั้งหมดก่อนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ เพื่อคืนเงินแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนและเลิกกองทุนก่อนกำหนดอายุโครงการ
ทั้งนี้ กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (PRINCIPAL CR-AI) เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 7 - 15 มีนาคม 2566 สั่งซื้อขั้นต่ำ 500,000 บาท ผู้สนใจติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02-686-9500 หรือ www.principal.th
"ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย" กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
คำเตือน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit