การลงทุนในที่พักตากอากาศชั้นนำเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่พักตากอากาศที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการปล่อยเช่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และมอบสิทธิ์เข้าพักฟรีให้กับผู้ลงทุน การที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งหลังช่วงการแพร่ระบาดโควิดสิ้นสุดลง มัลดีฟส์ สวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรอินเดีย ก็กลับมาคึกคักเช่นเดิมอีกครั้งและกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก เชื่อว่ายังมีโอกาสในการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนในระดับสูง ในตลาดที่ซัพพลายไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่มีศักยภาพในการเติบโตสูงเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีเพิ่มมากขึ้น
"การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในมัลดีฟส์นั้นมีความน่าสนใจอย่างมากสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุน" นางสาวปพิณริยา พึ่งเขื่อนขันธ์ หัวหน้าแผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าว "ตลาดอสังหาริมทรัพย์มัลดีฟส์มีความพร้อมที่จะเติบโตหลังจากมีการปรับปรุงนโยบายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เมื่อปี 2563 และมัลดีฟส์ยังมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับหรู"
มัลดีฟส์เป็นตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับหรูที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวซึ่งมองหาสถานที่พักผ่อนอันงดงามและมีความพิเศษ ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ได้แสดงให้เห็นว่า ในปี 2565 มัลดีฟส์ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.6 ล้านคน โดย 23.7 เปอร์เซ็นต์เป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชีย และจากจำนวนนักท่องเที่ยวดังกล่าว มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเกือบ 16,000 คน เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,800% จากปี 2564 ที่มีต่ำกว่า 900 คน มัลดีฟส์ตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 2 ล้านคนในปี 2566 และยังได้มีการกระจายตลาดเป้าหมายให้มีความหลากหลายมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แม้ว่ามัลดีฟส์จะมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับฮันนีมูน แต่ที่พักตากอากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วมัลดีฟส์ นอกจากนี้ ระยะเวลาในการเข้าพักเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นจาก 6.2 วันในปี 2560 เป็น 8 วันในปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะที่แข็งแกร่งในการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับหรูที่ได้รับความนิยม
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังมัลดีฟส์ในปี 2563 ลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 600,000 คนจาก 1.7 ล้านคนในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิ้นปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวก็กลับมาเพิ่มขึ้นจนเกือบถึงระดับเดียวกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่ามัลดีฟส์สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และแม้ว่าจะมีการแข่งขันเล็กน้อยกับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดใหญ่ แต่ที่พักในมัลดีฟส์ยังคงเรียกราคาได้สูงกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับบาหลี เมืองตากอากาศยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ มัลดีฟส์ถือว่าฟื้นตัวได้เร็วกว่ามาก หลังเกิดการแพร่ระบาด อัตราการเข้าพักในมัลดีฟส์ลดลงต่ำกว่า 30% ในปี 2563 ในขณะที่อัตราการเข้าพักในบาหลีลดลงต่ำกว่า 20% อย่างไรก็ตาม มัลดีฟส์กลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการเข้าพักเกือบ 60% ในปีถัดมา ขณะที่อัตราการเข้าพักของบาหลียังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ในปี 2565 อัตราการเข้าพักในมัลดีฟส์ยังคงอยู่ในระดับสูงคือมากกว่า 60%
นางสาวปพิณริยา กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบันโอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในมัลดีฟส์คือการลงทุนในโครงการวิลล่าและที่พักตากอากาศที่บริหารโดยเครือโรงแรม (Branded Residence) และเราพบว่าบางแห่งสามารถให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ระดับ 7% โดยมีหลายโครงการที่เป็นที่นิยมอย่างมาก เช่น โซเนวา จานี (Soneva Jani) และ โซเนวา ฟูชิ (Soneva Fushi) ซึ่งมีการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหราและความยั่งยืน ซึ่งโซเนวา จานี ประกอบด้วยวิลล่าบนเกาะ 8 หลังและพูลวิลล่าเหนือน้ำ 51 หลัง ขนาดตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน เป็นโครงการที่พักตากอากาศสุดหรูแห่งใหม่ล่าสุดในเครือโซเนวาที่มีการเปิดขาย หลังจากมัลดีฟส์มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายโดยอนุญาตให้โครงการรีสอร์ตขายอสังหาริมทรัพย์แบบเช่าช่วงต่อให้แก่บุคคลทั่วไปได้"
นักท่องเที่ยวระดับบนจากทั่วโลกต่างเดินทางมายังมัลดีฟส์เพื่อแสวงหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่พิเศษไม่เหมือนใครและมีความหรูหรา จากผลสำรวจนักท่องเที่ยวขาออกพบว่า เป็นเรื่องปกติที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาเยือนมัลดีฟส์อีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจสูงต่อประสบการณ์การพักผ่อนที่ได้รับจากเกาะแห่งนี้ นอกจากนั้น การที่รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยังดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย โดยมัลดีฟส์มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อรักษาความงามตามธรรมชาติของเกาะเอาไว้ การปกป้องพื้นที่ทางทะเล การลดขยะพลาสติก และการให้ความสำคัญกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่รัฐบาลมัลดีฟส์แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ในขณะที่มัลดีฟส์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและดึงดูดนักท่องเที่ยวในวงกว้างมากขึ้น ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เชื่อว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในการพิจารณาตลาดเกิดใหม่แห่งนี้ ปัจจัยที่ดีอย่างการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังการแพร่ระบาดใหญ่ ตลาดนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่ขยายฐานกว้างขึ้น และโอกาสที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้มัลดีฟส์เป็นหนึ่งในจุดหมายใหม่ระดับโลกทั้งสำหรับการท่องเที่ยวและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit