บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ที่ 'AA+(tha)' เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนเงินกู้ และใช้สำหรับเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและค่าใช้จ่ายในการลงทุน หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ AIS และได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทที่ 'AA+(tha)'
อันดับเครดิตของ AIS สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง จากการที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ฟิทช์คาดว่า AIS จะยังคงมีกำไรที่แข็งแกร่ง และสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด และอัตราส่วนหนี้สินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบัน ได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อันดับเครดิตของ AIS เท่ากับ AWN: อันดับเครดิต สะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) จาก AIS แก่บริษัทลูกที่ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN (ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ 'AA+(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ในระดับสูง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูง มาจากสัดส่วนรายได้และสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่มาจาก AWN ซึ่งอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 96 และร้อยละ 76 ตามลำดับ ในปี 2564
ฟิทช์มองว่าโครงสร้างการบริหารและการใช้แบรนด์ร่วมกัน (Management and Brand Overlap) อยู่ในระดับสูง โดย AIS ถือหุ้นทั้งหมดใน AWN ทำให้มีอำนาจควบคุมการดำเนินธุรกิจ และนโยบายด้านการเงินและการลงทุน นอกจากนี้ AWN มีการใช้แบรนด์สินค้าร่วมกันภายใต้แบรนด์ "AIS" สำหรับสินค้าและบริการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และคอนเทนต์
การฟื้นตัวของรายได้: ฟิทช์คาดว่า AIS จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของสภาวะเศรษฐกิจไทย จากที่ค่อนข้างอ่อนแอในปี 2563-2565 ฟิทช์คาดว่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติของไทยจะเติบโตร้อยละ 4.5 ในปี 2566 กิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวน่าจะสนับสนุนให้รายได้ของ AIS เติบโตในปี 2566 ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ AIS จะเติบโตในอัตราประมาณร้อยละ 3-4 ในปี 2566 (ปี 2565 เติบโตร้อยละ 1.6)
อัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่ลดลง: รายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อเลขหมายต่อเดือน (ARPU) ที่ลดลง น่าจะกดดันกำไรของ AIS ในปี 2566 ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ AIS จะเพิ่มขึ้นในปี 2566 แต่ EBITDA จะยังคงอยู่ที่ประมาณ 7.4-7.5 หมื่นล้านบาท (ปี 2566 อยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท) ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่นที่น่าจะยังคงเสนอแพ็คเกจที่มีราคาถูก สำหรับผู้ใช้บริการแบบชำระเงินล่วงหน้า (Prepaid) อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2566 แม้ว่าจะมีการควบรวมกิจการของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ฟิทช์คาดว่าผู้ให้บริการจะพิจารณาการปรับเพิ่มราคาอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจจะส่งผลกระทบต่อการสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
การขยายธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง: ฟิทช์มองว่า การเข้าซื้อกิจการ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ AIS ในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน และการเติบโตของกำไรในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ท่ามกลางธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการเติบโตต่ำ ฟิทช์คาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 18 หลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จ จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 8 การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวจะทำให้สถานะทางการตลาดของ AIS ปรับตัวดีขึ้น และกลายเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรายใหญ่อันดับที่สองในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 35 จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 16 ในปี 2565 ซึ่งจะใกล้เคียงกับส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุด ซึ่งได้แก่ TRUE ที่ประมาณร้อยละ 38
ความสามารถในการรองรับการลงทุน: ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ของ AIS จะยังคงเป็นบวกในปี 2566 ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานน่าจะยังคงเพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ค่าใช้จ่ายเพื่อชำระค่าคลื่นความถี่จำนวนประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท และเงินปันผลจำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ฟิทช์เชื่อว่าอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำโดยมี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ที่ 1 เท่า ณ สิ้นปี 2565 จะทำให้บริษัทมีความสามารถในการรองรับการลงทุน และค่าใช้จ่ายเพื่อจัดหาคลื่นความถี่เพิ่มเติม ที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตได้
แผนการเข้าซื้อกิจการบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด ซึ่งจะใช้การกู้ยืมเงินเป็นแหล่งเงินทุน จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิของ AIS เพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 เท่า โดยที่ยังไม่ได้พิจารณารวมกำไรจากสินทรัพย์ที่เข้าซื้อ ฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่าหลังจากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 จาก 1 เท่า ณ สิ้นปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต ถึงแม้ว่าความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมโดยไม่กระทบกับอันดับเครดิตจะปรับตัวลดลง
ผู้นำตลาด: AIS เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ฟิทช์เชื่อว่า AIS จะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดตามรายได้จากการให้บริการให้อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 45-50 ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า (ปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 47) นอกจากนี้สถานะทางธุรกิจของ AIS ยังได้รับการสนับสนุนจาก ขนาดธุรกิจและฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ ชื่อเสียงทางการค้าที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี และเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมมากที่สุด AIS ได้ขยายธุรกิจไปสู่การให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โดยรายได้จากการให้บริการดังกล่าวมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณร้อยละ 16 อย่างไรก็ตามรายได้จากการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงมีสัดส่วนที่ต่ำที่ประมาณร้อยละ 8 ของรายได้จากการให้บริการทั้งหมดของ AIS ในปี 2565
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของ AIS มีความแข็งแกร่งกว่าอันดับเครดิตของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiBev ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ 'AA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดสุราและเบียร์ในประเทศไทย เวียดนาม และเมียนมาร์ AIS และ ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจในระดับใกล้เคียงกัน เนื่องจากบริษัททั้งสองเป็นผู้นำในธุรกิจที่ตนดำเนินการอยู่ AIS มีการกระจายตัวของธุรกิจในด้านภูมิภาคที่น้อยกว่า ThaiBev แต่อันดับเครดิตภายในประเทศของ AIS อยู่ในระดับสูงกว่า ThaiBev อยู่หนึ่งอันดับเนื่องจาก AIS มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ AIS อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ 'AAA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจาก AIS มีสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า ปตท. มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของธุรกิจมากกว่า AIS ปตท. เป็นผู้ดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติในขั้นกลางและขั้นปลายเพียงผู้เดียวในประเทศไทย และเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ในธุรกิจผลิตและสำรวจปิโตรเลียม รวมทั้งยังเป็นผู้ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ในธุรกิจน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทย AIS และ ปตท. มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วน EBITDA Net Leverage อยู่ที่ระดับประมาณ 1 เท่า สำหรับ AIS และ 2 เท่าสำหรับ ปตท.
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
ปัจจัยลบ
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้: AIS มีหนี้จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ที่ถึงกำหนดชำระในปี 2566 ฟิทช์เชื่อว่าสภาพคล่องของ AIS อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ภายในประเทศเนื่องจากสถานะทางเครดิตที่ดี นอกจากนี้ฟิทช์คาดว่า AIS จะมีกระแสเงินสดเป็นบวกที่ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี ในปี 2566
เกี่ยวกับบริษัท: AIS เป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามรายได้จากการให้บริการร้อยละ 48 และเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ โดยมีลูกค้าจำนวน 2.2 ล้านราย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงประมาณร้อยละ 16 บริษัท อินทัช โฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน) และ Singapore Telecommunication Limited เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 40 และ 23 ตามลำดับ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit