ป.ป.ช. ติดตามเลือกตั้ง 66 เน้นย้ำ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องปราศจากการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม

11 May 2023

ป.ป.ช. เผย ตัวบทกฎหมายที่เป็นกลไกป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ยึด "หลักการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์" ปิดช่องโหว่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง และการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 

ป.ป.ช. ติดตามเลือกตั้ง 66 เน้นย้ำ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องปราศจากการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า นอกจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จะได้วางกลไกเพื่อป้องกันมิให้นักการเมืองที่ไม่มีธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจบริหารบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยหลักการสำคัญนั้น คือ "การป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม" ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 184 และมาตรา 186 ที่ได้กำหนดพฤติการณ์ของการขัดกันแห่งประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นข้อพึงระวังของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นอกจากนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ "นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา" เป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์กับหน่วยงานของรัฐที่ตนปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่ตนมีอำนาจหน้าที่ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี

โดยในมาตรา 126 ของ พ.ร.บ. ป.ป.ช. นี้ เป็นการห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินกิจการต่าง ๆ ดังนี้

(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ

(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ (ถือหุ้นได้  ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น)

(3) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาด ตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดไม่เกินจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด (ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น)

ทั้งยังห้ามรวมไปถึง คู่สมรสของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสเป็นการดำเนินกิจการของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่เป็นกรณีที่คู่สมรสดำเนินการอยู่ก่อนที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเข้ารับตำแหน่ง หากกระทำการฝ่าฝืนมาตร 126 ถือว่ามีความผิด "มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

นอกจากนี้ ยังมีมาตรา 128  ที่กำหนดห้ามมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด "การฝ่าฝืนกระทำกิจการตามมาตรา 128 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวสรุปว่า ผู้ที่จะก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับฉันทามติ จากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ย่อมต้องได้รับการตรวจสอบและต้องปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการทุจริตจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่า "ผู้แทน" ที่ตนได้เลือกเข้ามาทำหน้าที่จะมีความโปร่งใส ไม่ใช้อำนาจที่ได้มาจากประชาชนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง

 

ป.ป.ช. ติดตามเลือกตั้ง 66 เน้นย้ำ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องปราศจากการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม