กลับมาอีกครั้งกับงานที่ทุกคนรอคอย Thailand Coffee Fest 2023 : Good Coffee for Everyone เทศกาลของคนรักกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวบรวมคนรักกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ พร้อมไฮไลต์การประกวด Thai Specialty Coffee Awards 2023 การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทย เพื่อเฟ้นหาเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ไทยคุณภาพดีที่สุดประจำปี 2023 โดยเมล็ดกาแฟที่ได้คะแนนสูงที่สุด 10 ลำดับแรกทั้ง 3 โพรเซส จะได้เข้ารับการประมูลจากผู้ที่สนใจ ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี
คุณณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์ นายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย กล่าวว่า การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทย เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2013 ภายใต้แนวคิดที่ต้องการเชิดชูคุณภาพกาแฟพิเศษไทยให้เป็นที่รู้จักและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับโลก พร้อมผลักดันการให้รางวัลกับเกษตรกรผู้ชนะการแข่งขันทั้งจาก 3 โพรเซส คือ กระบวนการผลิตแบบเปียก (Washed Process) เป็นกระบวนการที่ใช้น้ำในการแปรรูปในทุก ๆ ขั้นตอน ซึ่งเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการ Washed Process จะมีความชัดเจนในรสชาติมาก ทั้งในด้านกลิ่น รสชาติ ความเป็นกรดที่คล้ายผลไม้อย่างชัดเจน และมีรสชาติที่สะอาด ทำให้เราสัมผัสกลิ่นและรสของกาแฟได้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีคุณภาพที่สม่ำเสมอมากกว่า และควบคุมการกระบวนการผลิตได้ง่ายกว่ากระบวนการผลิตแบบอื่น ๆ
ถัดมา คือ กระบวนการผลิตแบบแห้ง (Natural Process) เป็นกระบวนการผลิตที่นำผลเชอร์รี่ที่สุกจัด มาตากให้แห้ง จนเนื้อและเปลือกหลุดร่อนออกจากเมล็ด ใช้ระยะเวลาในการตากประมาณ 15 - 30 วัน เนื่องจากกระบวนผลิตแบบแห้ง ไม่ได้ถูกน้ำชะล้างสารต่าง ๆ ออกจากเปลือกและเมือกของผลกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟสามารถดูดซับสารต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ จึงมีรสชาติที่จัดจ้าน เข้มข้น มีเนื้อสัมผัสมาก
สุดท้าย คือ กระบวนการผลิตแบบกึ่งเปียกกึ่งแห้ง (Honey Process) เป็นกระบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างแบบเปียกและแบบแห้ง โดยการนำผลเชอร์รี่กาแฟแช่น้ำเพื่อทำให้คัดแยก แล้วสีเปลือกออก จากนั้นหมักเมล็ดกาแฟกับเนื้อไว้ แล้วจึงนำไปตากจนแห้งโดยที่ไม่ขัดเมือก ทำให้ความหวานของเนื้อกาแฟซึมเข้าสู่เมล็ด รวมถึงทำให้เกิดกลิ่นคล้ายผลไม้อีกด้วย
สำหรับเกษตรกรผู้ชนะการแข่งขัน 10 ลำดับแรกทั้งจาก 3 Process มีสิทธิ์ได้เข้ารับการประมูลจากกลุ่มผู้สนใจ ซึ่งที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมการประมูลเป็นจำนวนมาก แข่งขันราคากันดุเดือด อยู่ในหลักหมื่นบาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมูลค่าสูงที่สุดที่ประมูลได้ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 33,500 บาทต่อกิโลกรัม และมียอดการประมูลรวมกันทั้งกระดานกว่า 4.46 ล้านบาท
ซึ่งการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราค้นพบว่า เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมีการพัฒนาการองค์ความรู้ต่อเนื่อง หลายรายเริ่มเข้าใจว่ากาแฟที่ดี ต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดี ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ต้องใส่ใจสายพันธุ์พิเศษ, บำรุงต้น, บำรุงดิน, การใส่ปุ๋ย, ตัดแต่งกิ่ง ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการโพรเซสซึ่งเป็นกลางน้ำ และส่งต่อมาถึงผู้บริโภคที่อยู่ปลายน้ำ ซึ่งถ้าต้นน้ำยกระดับการปลูก ดูแลสายพันธุ์ให้ได้คุณภาพ รักษาแหล่งต้นน้ำ หยุดการเผาป่า ปลูกไม้ยืนต้นสายพันธุ์อื่นเพิ่มเติมเพื่อบำรุงดิน แม้ผลผลิตกาแฟจะใช้เวลาเก็บเกี่ยวยาวนานถึง 8 เดือน แต่รายได้ที่เกิดขึ้นจะเพียงพอตลอดทั้งปีแน่นอน เพราะกาแฟสายพันธุ์พิเศษมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้จะเห็นผลช้าแต่มั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
ในส่วนของคุณภาพเมล็ดกาแฟพิเศษไทย เราเชื่อมั่นว่า สามารถแข่งขันบนเวทีระดับโลกได้อย่างแน่นอน เพราะมีมาตรฐานสูงเป็นที่ยอมรับในระดับโลก แต่ความท้าทายคือ เมล็ดกาแฟพิเศษไทยนั้น มีปริมาณผลผลิตค่อนข้างน้อย ไม่เพียงพอต่อการส่งออกเท่าไหร่นัก แต่ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่ดี สำหรับผู้บริโภคที่จะมีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลายขึ้น ซึ่งถ้าความนิยมกาแฟสายพันธุ์พิเศษในประเทศสูงขึ้นเท่าไหร่ กาแฟพิเศษไทยก็จะได้รับความนิยมตามไปด้วย
"สิ่งที่ดีใจที่สุดเมื่อเข้ามาอยู่ในวงการกาแฟพิเศษไทย นอกเหนือจากได้เห็นกลุ่มเกษตรกรถ่ายทอดองค์ความรู้ แชร์ประสบการณ์ที่ดีต่อกันคือ ทุกวันนี้เกษตรกรเอง เริ่มชิมกาแฟที่ตัวเองปลูก ทดลองโพรเซสกาแฟด้วยตนเอง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้วงการกาแฟพิเศษไทยจะโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน" คุณณัฏฐ์รดา กล่าว
ด้านคุณบริรักษ์ อภิขันติกุล ตัวแทนคณะกรรมการตัดสินการประกวด กล่าวเสริมว่า เป็นที่น่าตกใจว่าในปีนี้ จำนวนเมล็ดกาแฟตัวอย่างที่ส่งเข้าประกวดมีจำนวนเกือบ 300 ตัวอย่างใกล้เคียงกับปีผ่านมา ซึ่งก่อนการประกวดคณะกรรมการคาดการณ์ว่า เมล็ดกาแฟที่ส่งเข้าประกวดน่าจะลดลง เพราะผลผลิตน้อยลงไปมากจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างหนักทั่วโลก แต่ในทางเดียวกัน แม้จะเจอวิกฤต แต่เกษตรกรเองก็ยังแบ่งปันเมล็ดกาแฟเข้าร่วมการประกวดเช่นเดิม แสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนต้นน้ำ ต้องการยกระดับคุณภาพกาแฟที่อยู่ในความดูแลของพวกเขาให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งการประกวดทำให้ได้รับโอกาสที่มากขึ้น อาจจะถึงระดับ Top 10 ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมประมูล สิ่งสำคัญกว่านั้น เมล็ดกาแฟทุกตัวอย่างจะได้รับความคิดเห็นของคณะกรรมการ เพื่อนำไปปรับปรุงและปีต่อไปก็เป็นโอกาสให้นำผลผลิตกลับมาประเมินใหม่ว่าผลผลิตเหล่านั้น เริ่มเข้าใกล้เคียงมาตรฐานระดับโลกเพียงใด
"ต้องยอมรับว่า เกษตรกรเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่ากาแฟที่ดี ทำให้คะแนนค่าเฉลี่ยของการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยสูงขึ้นทุกปี และในปีนี้เองค่าเฉลี่ยของเมล็ดกาแฟที่อยู่ในกลุ่ม Specialty Grade (80 คะแนนขึ้นไป) สูงขึ้นมาก ขณะเดียวกัน สมาคมกาแฟพิเศษไทยเองก็ปรับเกณฑ์การประกวดผู้ที่จะเข้ารอบ Top 20 ทั้ง 3 Process จะต้องมีค่าเฉลี่ยที่ 85 คะแนนขึ้นไป ซึ่งได้เมล็ดกาแฟตัวอย่างที่เข้ารอบถึง 59 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี
สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้เกษตรกรต้นน้ำทุกท่าน อย่าท้อที่จะพัฒนาเพราะผลลัพธ์ของความสำเร็จนั้นสวยงามเสมอ ในช่วงแรกอาจจะเหนื่อยและท้อไปบ้าง แต่ขอให้รีบกลับมาเพราะวงการกาแฟพิเศษไทยนั้นราคาผลผลิตสูงขึ้นทุกปี และเป็นอีกวงการที่อยู่รอดแม้ในช่วงเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ผ่านมา" คุณบริรักษ์กล่าว
สำหรับการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทย ได้สิ้นสุดกระบวนการแข่งขันเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา และล่าสุดได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะการประกวดทั้ง 3 Process ซึ่งแหล่งปลูกบ้านมณีพฤกษ์ ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน มีคุณภาพกาแฟที่โดดเด่น จนสามารถคว้ารางวัลผู้ชนะได้ทั้งหมด โดยมีรายละเอียด ดังนี้
สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการค้นพบมนต์เสน่ห์ของสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยที่ชนะการประกวด Thai Specialty Coffee Awards 2023 สามารถลิ้มลองรสชาติและร่วมกิจกรรมสุดพิเศษมากมายได้ที่งาน Thailand Coffee Fest 2023 : Good Coffee for Everyone เทศกาลของคนรักกาแฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นที่การจัดงาน 20,000 ตารางเมตร ณ IMPACT Exhibition Center Hall 5 - 8 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 13-16 กรกฎาคม 2566 การันตีคุณภาพการจัดงานโดยสมาคมกาแฟพิเศษไทย ร่วมกับ The Cloud หรือติดตามรายละเอียดการประมูลสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทย ประจำปี 2023 ได้ที่เฟสบุ๊ก Thailand Coffee Fest คลิก https://www.facebook.com/ThailandCoffeeFest
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit