จากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลถึงวิกฤติในธนาคารบางรายในสหรัฐและยุโรป ธุรกิจธนาคารกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากกรณีผู้ลงทุนและ ผู้ฝากเงินขาดความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของธนาคาร แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานภาครัฐและธนาคารกลางได้เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ลุกลามในวงกว้าง นอกจากนี้ สถานการณ์ปัจจุบันยังแตกต่างจากช่วงวิกฤติ subprime ในปี 2008 โดยปัจจุบันธนาคารเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตทำให้มีการบริหารความเสี่ยง และถูกกำกับดูแลโดยภาครัฐอย่างเข้มงวดมากขึ้น แม้ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกแต่ตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่งจากปัจจัยภายในประเทศ และเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคม 2566 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิเป็นเดือนที่สองจากที่เคยซื้อสุทธิต่อเนื่อง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าสอดคล้องกับทิศทางการส่งออกที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ โดยปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก ในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลต่อระบบการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญทำให้เห็น Fund Flow ไหลมายังตลาดพันธบัตรไทย
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
- ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 SET Index ปิดที่ 1,609.17 จุด ปรับลดลง 0.8% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นใน ASEAN และปรับลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
- ในเดือนมีนาคมปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
- ในเดือนมีนาคม 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 61,250 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 35.9% ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สอง หลังจากซื้อสุทธิสี่เดือนติดต่อ โดยในเดือนมีนาคม 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 31,494 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11
- ในเดือนมีนาคม 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป (PRTR) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. อิทธิฤทธิ์ ไนซ์ คอร์ปอเรชั่น (ITTHI) และ บมจ. เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี (DEXON)
- Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 19.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า
- อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 2.91% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.24%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ในเดือนมีนาคม 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 709,392 สัญญา เพิ่มขึ้น 30.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ SET50 Index Options และในช่วง 3 เดือนของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 597,179 สัญญา ลดลง 5.6% จากปีก่อน
HTML::image(