ฟิทช์ เรทติ้งส์กล่าวว่าการลงทุนของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของไทยจะเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปยังธุรกิจพลังงานสะอาด และการการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
ฟิทช์ คาดว่า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-1.8 แสนล้านบาทโดยเฉลี่ยต่อปี ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2562-2564
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจใหม่ เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อเสริมธุรกิจเดิม โดยฟิทช์คาดว่าความต้องการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากเทคโนโลยีเซลล์ไฟฟ้าเคมีจากการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพของการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วของห่วงโซ่ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และราคาแบตเตอรี่ที่ถูกลง
การลงทุนดังกล่าวและราคาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในระยะสั้นจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ อยู่ในระดับสูงถึงแม้อัตราส่วนหนี้สินจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีก 2-3ปีข้างหน้าและโดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Net Debt/EDITDA) จะอยู่ที่ระดับประมาณ 5-7 เท่า โดยอัตราส่วนหนี้สินจะได้รับการบรรเทาจากรายได้และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มไปยังราคาขายของไฟฟ้าพลังงานความร้อนและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว รวมถึงกำไรเพิ่มเติมจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ที่เริ่มดำเนินการ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit