'Prevention is better than cure' หรือ "การป้องกันไว้ดีกว่าแก้" นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ (หมอแอมป์) นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวถึงวลีจากนักปรัชญาชาวดัทช์ (Desiderius Erasmus) ซึ่งถูกยึดเป็นหลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพในยุคสมัยใหม่ เพราะการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง (Wellness) มีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีความสุข (Happiness) ย่อมดีกว่าความอ่อนล้าและทรมานที่อาจมาพร้อมความเจ็บป่วย (Sickness)
จากรายงาน Noncommunicable Diseases Progress Monitor 2022 ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากถึง 74 % หรือคิดเป็น 45 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2563 ส่งผลให้ในปัจจุบันเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine) ศาสตร์ทางการแพทย์ที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค เพื่อการดูแลสุขภาพองค์รวม เข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Check-up) ช่วยเปิดโอกาสให้สามารถคัดกรองโรคและความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนและปัญหาทางสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ข้อมูลจากสถาบันโกลบอลเวลเนส (Global Wellness Institute; GWI) รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2563 ภาคสาธารณสุข เวชศาสตร์ป้องกัน และการแพทย์เฉพาะบุคคล (Public Health, Prevention, & Personalized Medicine) สร้างรายได้ 375,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีภาคสาธารณสุขและเวชศาสตร์ป้องกัน (Public Health and Preventive Medicine) ถือครองตลาดสูงถึง 92% คิดเป็นมูลค่า 344,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) 31,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึงแม้การแพทย์เฉพาะบุคคลจะมีมูลค่าตลาดน้อยกว่า แต่ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2563 กลับมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 11% จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้คนทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากยิ่งขึ้น
คุณหมอแอมป์เปรียบเทียบสุขภาพเหมือนกับรถยนต์ บางคนขับรถคันโปรดไปโดยไม่เคยตรวจเช็คระยะ เมื่อวันหนึ่งรถเกิดความเสียหาย ก็ต้องเสียเวลา เสียเงินทองไปกับการซ่อมแซม ยังดีที่รถยนต์ยังมีอะไหล่สำรองทดแทน แต่สุขภาพของคนเรานั้น เมื่อเกิดความเสียหาย เราไม่มีอะไหล่ทดแทน แม้รักษาได้ แต่ไม่อาจกลับมามีสภาพดีสมบูรณ์แข็งแรงได้เหมือนเดิม
การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน ก้าวหน้าไกลกว่าการตรวจเช็คระยะรถยนต์ตามปกติ แต่เหมือนกับการตรวจสภาพรถแข่งโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่รู้ข้อมูลของรถคันนี้อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรถยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ และทำให้รู้ว่ารถคันนี้จะวิ่งไปได้ไกลมากแค่ไหน
เพราะ "สุขภาพคือสมบัติที่สำคัญที่สุด" คุณหมอแอมป์กล่าว เรามีครอบครัวที่เรารัก มีพ่อแม่ มีลูก มีคนที่เราห่วงใย เพราะฉะนั้นรถยนต์คันนี้จะพังไม่ได้ การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันจึงเหมือนกับการนำร่างกายที่รักของเราไปตรวจเช็คกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างละเอียดครบถ้วน นำไปใช้วางแผนรักษาสุขภาพ ให้อยู่อย่างแข็งแรง ยืนยาว อย่างมีคุณภาพ
การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน มุ่งเน้นที่การดูแลคนสุขภาพดีไม่ให้เจ็บป่วย ต่างกับการรักษาโรคที่เป็นการดูแลคนป่วยให้หายดี ฉะนั้นการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศและสภาวะของร่างกาย ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินประวัติสุขภาพโดยละเอียด เพื่อวางแผนการตรวจสุขภาพ ตลอดจนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด
ในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาไปอย่างมาก การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน จึงมีหัวข้อต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างดังนี้
1. การตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable disease; NCDs) ได้แก่ โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคถุงลมโป่งพอง, โรคอ้วน กลุ่มโรคเหล่านี้มักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปจนถึงความเครียดเรื้อรัง (Chronic stress) ที่สั่งสมเป็นเวลานาน การตรวจสุขภาพด้วยวิธีการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ไปจนถึงการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยมาช่วย เช่น MRI, CT scan, DEXA scan เป็นต้น ช่วยให้สามารถระบุภาวะสุขภาพในปัจจุบัน รวมถึงช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ และการมีพฤติกรรมที่ดี อีกทั้งช่วยให้ทีมแพทย์วางแผนการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดโรคในอนาคต
การตรวจคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่
การตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันไม่ให้ตับแข็ง และตับอ่อนแข็ง ซึ่งถือเป็นความเสียหายอย่างถาวรของเนื้อเยื่อตับ รวมถึงช่วยให้ค้นพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อให้เกิดการรักษาได้อย่างทันท่วงทีไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของมะเร็ง
2. การตรวจวัดระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ (Vitamins, Minerals and Antioxidant) ตัวอย่างเช่น วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, เบตาแคโรทีน, แอลฟาแคโรทีน, ไลโคปีน (Lycopene) , ลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ล้วนมีความสำคัญต่อระบบการทำงานในร่างกาย ทำหน้าที่ป้องกันหรือชะลอกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระ (Free radicals) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมสภาพภายในร่างกาย
ปัจจุบันผู้คนหันมารับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมกันเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากร่างกายของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน การตรวจระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด หรือ การแพทย์แบบจำเพาะบุคคล (Precision and Personalized Medicine) ช่วยให้สามารถเลือกเสริมตามที่ร่างกายต้องการได้อย่างตรงจุด
"รายการไหนที่ขาดเราสามารถแก้ไขโดยการปรับการรับประทานอาหาร ให้ตรงตามผลเลือดของเรา เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รายการไหนที่ระดับวิตามินในเลือดดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปเสริมจนเกิดโทษแก่ร่างกาย" คุณหมอแอมป์อธิบายให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
ดังนั้นในยุคที่ประชาชนนิยมการรับประทานวิตามินและอาหารเสริมกันมาก แต่ยังมีคำถามสงสัยว่าควรรับประทานวิตามินตัวไหน คุณหมอแอมป์ให้คำแนะนำว่า "เราควรรู้ก่อนว่าร่างกายเราขาดวิตามินและสารอาหารตัวใดบ้าง หากการรับประทานอาหารปกติยังไม่สามารถชดเชยสารอาหารที่ขาดได้ แนะนำให้เลือกวิตามินที่ปรับมาจากผลเลือดของเรา เพราะการรับประทานวิตามินมากไปหรือน้อยไปก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน"
การตรวจเลือดช่วยป้องกันการได้รับวิตามินแร่ธาตุที่มากเกินความจำเป็น ช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรู้ถึงสภาวะสุขภาพปัจจุบัน และออกแบบอาหารเสริมเฉพาะบุคคล (Customized Supplements) ในการรักษาระดับสารอาหารต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เสริมสร้างร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ
3. การตรวจคัดกรองมะเร็งทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
เนื่องจากมะเร็งมักจะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor marker) จากเลือด จึงมีส่วนช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น
การตรวจคัดกรองมะเร็งอื่นๆ ได้แก่
4. การตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากการตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดแล้ว การตรวจสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดเพื่อให้ละเอียดมากขึ้นนั้นยังมีอีกหลายวิธี เช่น
5. การตรวจความหนาแน่นของมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูก
การตรวจวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analysis) เพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นของมวลกระดูก มวลไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ ด้วยเครื่อง DEXA scan ทำให้ทราบข้อมูลของร่างกายมากกว่าการใช้น้ำหนักตัวเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคนที่มีน้ำหนักตัวเท่ากัน สามารถมีองค์ประกอบร่างกายที่แตกต่างกันได้ การตรวจวัดองค์ประกอบร่างกาย จึงเพิ่มความแม่นยำในการบ่งชี้ภาวะโรคอ้วน โดยในผู้ชายวัยกลางคน ไม่ควรมีเปอร์เซ็นต์ไขมันเกิน 28% และในผู้หญิง ไม่ควรเกิน 32 % รวมไปถึงการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก เพื่อดูความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) รวมถึงเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอยู่เสมอ ป้องกันการพลัดตกหกล้มที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้ที่มีเปอร์เซ็นต์ไขมันเกินเกณฑ์ที่กำหนด สามารถวางแผนร่วมกับแพทย์และทีมงาน Lifestyle Medicine ในการดูแลรักษา ลดมวลไขมันได้อย่างเหมาะสมกับสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคลต่อไป
6. การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ
ฮอร์โมนคือ สิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ในร่างกายมนุษย์มีฮอร์โมนมากกว่า 50 ชนิด ช่วยในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย
การตรวจระดับฮอร์โมนต่างๆ จะทำให้ทราบว่า ฮอร์โมนใดขาดสมดุล เพื่อจะนำไปสู่การฟื้นฟู ด้วยการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต การเสริมยาและวิตามินต่างๆ ไปจนถึงการวางแผนดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในอนาคต
7. การตรวจสายตาและการได้ยิน
ในปัจจุบันผู้คนใช้เวลาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง จนอาจลืมไปว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น คุณภาพการนอนหลับที่ลดลง เพราะแสงสีฟ้ารบกวนการหลั่งเมลาโทนินและนาฬิกาชีวภาพ (circadian rhythm) การนอนหลับที่ไม่สนิทอาจนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน และยังส่งผลเสียต่อจอประสาทตาโดยตรง
เพราะเรามีตาและหูเพียงคู่เดียวในชีวิต การตรวจสุขภาพตาและหูเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การตรวจสุขภาพสายตาเบื้องต้น เพื่อตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น ภาวะเบาหวานขึ้นตา หรือผลจากความดันโลหิตสูง, การเกิดต้อต่างๆ เช่น ต้อหิน (Glaucoma), ต้อกระจก (Cataract), ต้อลม (Pinguecula), ต้อเนื้อ (Pterygium) เป็นต้น และการตรวจระดับการได้ยิน เป็นการตรวจการทำงานของหูและระบบโสตประสาทเพื่อหาระดับการได้ยิน การทดสอบความสามารถในการมองเห็นและการได้ยิน ช่วยให้มีข้อมูลเบื้องต้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาและหูที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
8. การตรวจสุขภาพผิวพรรณ
การตรวจวิเคราะห์สภาพผิว (Skin Analysis) ด้วยเครื่อง Complexion analysis photography system เป็นการระบุประเภทของผิวที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ทำให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผิว ข้อดี และ ข้อบกพร่อง โดยกล้องมีความละเอียดสูง ทำให้สามารถตรวจวิเคราะห์ผิวชั้นบนและผิวชั้นที่ลึกลงไป โดยจะสามารถเห็นปริมาณรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ การอักเสบของผิว ความกว้างของรูขุมขน ริ้วรอย สารที่ทำให้เกิดสิวบนใบหน้า UV Spots ความไม่สม่ำเสมอของสีผิว และยังสามารถบอกอายุผิวที่แท้จริงของแต่ละบุคคลได้อีกด้วย เพื่อให้แพทย์สามารถให้คำแนะนำและการรักษาที่ตรงจุด รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวมากที่สุดอีกด้วย
9. การตรวจรหัสพันธุกรรม (Genetic Testing)
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ หลายล้านเซลล์ โดยในแต่ละเซลล์จะมีสายพันธุกรรมซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะความแตกต่างเฉพาะบุคคล การตรวจพันธุกรรมช่วยให้ค้นหาความผิดปกติของยีนลึกลงไปถึงดีเอ็นเอ (DNA) ช่วยประเมินความเสี่ยงสุขภาพในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน รวมถึงยีนยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมสุขภาพที่ส่งผลต่อการมีอายุที่ยืนยาว ช่วยให้เราสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ตรงจุดและเหมาะสมกับบุคคลมากยิ่งขึ้น (Personalized Medicine)
การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน ทำให้ค้นพบสาเหตุและความผิดปกติของร่างกายได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการแสดง ช่วย ให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การวางแผนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle medicine) โดยมีแพทย์และทีมสหวิชาชีพเข้ามาร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด (Health and wellness coaches; HWCs) อาทิ นักกำหนดอาหาร นักกายภาพบำบัด เทรนเนอร์การออกกำลังกาย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เป็นต้น เป็นการออกแบบการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalised care) แตกต่างจากการรักษาทั่วไป
ในบทความวิชาการของคุณหมอ Perlman และคณะ จาก Mayo Clinic ได้กล่าวถึงความหมายของ Health and wellness coaching (HWCs) ไว้ว่า เป็นการดูแลโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ช่วยให้ผู้ป่วยกำหนดเป้าหมายของตัวเอง ร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และติดตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม ทั้งหมดนี้อาศัยความสัมพันธ์อันดี ระหว่างผู้ป่วยกับทีมสหวิชาชีพ โดยทีมสหวิชาชีพเป็นทีมวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขที่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสร้างแรงจูงใจ และเทคนิคการสื่อสาร เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพอย่างยั่งยืน เรียกได้ว่า เป็น Personalised Care แตกต่างจากการพบแพทย์แบบทั่วไป การดูแลในรูปแบบ Health and wellness coaching อาจใช้เวลาเฉลี่ย 45-60 นาทีต่อสัปดาห์ เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับผู้ป่วยมากที่สุด
บทความวิชาการในวารสาร American Journal of Lifestyle Medicine ที่รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับ Health and wellness coaching ได้สรุปผลการวิจัยว่า วิธีการ Health and wellness coaching มีส่วนช่วยลดน้ำหนัก ลดค่าความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคเบาหวานได้
ดังนั้นคุณหมอแอมป์ จึงมีเคล็ดลับง่ายๆในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ ดังนี้
เพราะการมีสุขภาพที่ดี มีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ ต้องอาศัยการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุมทุกมิติและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรง
คุณหมอแอมป์ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า "เพราะสุขภาพดี คือ สมบัติที่สำคัญที่สุด" นั่นเอง
BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยเรื่องสุขภาพ เพื่อมอบเป็นของขวัญสุขภาพแก่คนไทยทุกคน เพราะสุขภาพที่ดี คือของขวัญที่ดีที่สุด Live longer, Healthier and Happier
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ไลน์ : @bdmswellnessclinic or https://lin.ee/rdIDv1A เว็บไซต์ : www.bdmswellness.com
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit