เอ. เอส. วัตสัน ในฐานะผู้นำค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศเปิดตัว "Skinfie Lab" นวัตกรรมใหม่ในการวิเคราะห์ผิวเฉพาะบุคคล และสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะกับผิวของบุคคลนั้นๆ โดยอิงจากภาพเซลฟี่ของลูกค้า ในปัจจุบัน Skinfie Lab ได้เปิดตัวครั้งแรกไปแล้วที่ วัตสัน ฮ่องกง และจะเปิดตัวในไทย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียภายในต้นปี 2566 นี้
การเปิดตัว Skinfie Lab ในเอเชียถือเป็นก้าวสำคัญล่าสุดของ เอ. เอส. วัตสัน ที่จะมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ O+O (ออฟไลน์และออนไลน์) อย่างแท้จริงให้กับลูกค้า ซึ่งเกิดขึ้นสืบเนื่องจากความสำเร็จจากการเปิดตัวนวัตกรรม AI ให้คำปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของร้าน Superdrug ในสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในการใช้นวัตกรรมดังกล่าว และทำให้มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
คุณฟรีด้า อึง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (เอเชีย) ของ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป กล่าว "เราเชื่อว่า Skinfie Lab จะเปลี่ยนวิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของลูกค้า โดยใช้เพียงแค่การเซลฟี่เท่านั้น
"เราใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการคิดค้นและพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อช่วยมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ O+O ที่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เปิดตัว Skinfie Lab ในเอเชีย ซึ่งเป็นการริเริ่มที่สำคัญในการช่วยให้ลูกค้าได้ค้นพบสิ่งที่ผิวของเขาต้องการอย่างง่ายดาย"
เทคโนโลยี AI ช่วยคัดสรรผลิตภัณฑ์กว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ตรงความต้องการของแต่ละบุคคล
Skinfie Lab เป็นการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการวิเคราะห์ผิวของลูกค้าและสร้างสูตรดูแลผิวพรรณเฉพาะสำหรับบุคคล โดยเป็นการพัฒนาร่วมกันโดย เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป และ ModiFace ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI และ AR ของลอรีอัล นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือในการพัฒนาจากแพทย์ผิวหนังโดยใช้ข้อมูลการวิจัยมากถึง 15 ปี ในแง่ของการทำงาน Skinfie Lab ยังใช้ AI ในการตรวจสอบภาพเซลฟี่กว่า 16,000 ภาพ เพื่อตรวจจับลักษณะใบหน้าที่หลากหลายจากภาพเซลฟี่ของลูกค้า รวมถึงสิว ริ้วรอย ผิวคล้ำ รูขุมขนกว้าง ริ้วรอย ความกระจ่างใส รวมถึงความกระชับของผิว และสภาพผิวโดยรวม
ลูกค้าเพียงแค่ถ่ายรูปเซลฟี่และตอบคำถามง่ายๆ สองสามข้อเกี่ยวกับตัวของพวกเขาเองผ่านโทรศัพท์มือถือ จากนั้น Skinfie Lab จะเริ่มทำการวิเคราะห์ผิวในเชิงลึกเฉพาะสำหรับพวกเขา รวมถึงคัดสรรและแนะนำผลิตภัณฑ์จากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีอยู่ในร้านค้าออนไลน์ของวัตสัน (วัตสันออนไลน์) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่คลีนเซอร์ มาสก์หน้า โทนเนอร์ เซรั่ม ครีมบำรุงรอบดวงตา มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดด
คุณอึง ยังกล่าวต่อว่า "ลูกค้าจำนวนมากต้องการรู้ว่าผิวของตนเองต้องการอะไร และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกขั้นตอนในการดูแลผิวของพวกเขา แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำ ก็เพียงแค่ถ่ายเซลฟี่เท่านั้น โดย Skinfie Lab ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มหันมาดูแลตัวเองและกำลังมองหาคำแนะนำในการวิธีดูแลผิวพรรณของตนเอง ตลอดจนผู้ที่สนใจเรื่องความงามที่กำลังมองหาคำแนะนำเฉพาะบุคคล รวมไปถึงแนะนำสินค้าที่อยู่ในเทรนด์ด้วย"
เทคโนโลยี AR ใน ColourMe มีผู้ทดลองใช้แล้ว 40 ล้านครั้ง
ColourMe ฟังก์ชั่นทดลองแต่งหน้าเสมือนจริงในแอปวัตสัน พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง เอ. เอส. วัตสัน และ Modiface ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 ในปัจจุบันมีผู้ทดลองใช้แล้วมากถึง 40 ล้านครั้งในฮ่องกง มาเลเซีย ไทย ไต้หวัน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ColourMe ยังใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพเสมือนของตัวเองทันที ว่าพวกเขาจะมีภาพลักษณ์ออกมาอย่างไรในแต่ละลุคที่เปลี่ยนไป รวมถึงช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามลุคนั้นๆ อีกด้วย โดยปัจจุบันจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในกลุ่มผู้ใช้ ColourMe
คุณอึง ยังกล่าวเสริมอีกว่า "ในปัจจุบัน ทั้ง Skinfie Lab และ ColourMe ช่วยให้ลูกค้าค้นพบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่เหมาะกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ AR จึงทำให้เราสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่แบบ O+O ไร้รอยต่อที่ช่วยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น ตลอดจนได้รับบริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่สนใจในเรื่องความงาม และช่วยให้พวกเขามีควมสุขกับการช้อปปิ้งอย่างแท้จริง"
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit