"บมจ.ทานตะวันอุตสาหกรรม หรือ THIP" ประกาศงบไตรมาส 1/65 มีผลกำไร 118.8 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 45.2% กวาดยอดขาย 1,109.3 ล้านบาท เติบโต 35.9% ตามคำสั่งซื้อ ที่เพิ่มขึ้น จากความต้องการของลูกค้าในตลาดยุโรป อเมริกา และเอเชีย รวมทั้งตลาดในประเทศฟื้นตัว หลังโควิดคลี่คลาย โดยวางเป้ารายได้ในปี 65 โตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน จากดีมานด์ถุงซิปล็อคที่เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และเน้นการตลาดออนไลน์สินค้า Own Brand พร้อมเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพิ่ม
นางพจนารถ ปริญภัทร์ภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ THIP ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์คุณภาพระดับสากล เปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 118.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.2% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 81.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.32 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.41 บาทต่อหุ้น ขณะที่รายได้รวมจากการขายอยู่ที่ 1,109 .3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 293 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 35.9% จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมจากการขาย 816.3 ล้านบาท
รายได้ส่วนใหญ่เติบโตขึ้นจากความต้องการของลูกค้าในตลาดยุโรป อเมริกา และเอเชีย โดยการขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 269.3 ล้านบาท หรือ 37.8% ส่วนตลาดในประเทศฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลายลง โดยมีการเติบโตของยอดขายในประเทศ 23.7 ล้านบาท หรือ 22.7% ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตได้ดีมาจากทั้งกลุ่มถุงและกลุ่มหลอดดูดเครื่องดื่ม
สำหรับแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2 คาดว่ายังคงมีการเติบโตสำหรับตลาดบรรจุภัณฑ์ โดยบริษัทได้มีการวางแผนทำการตลาดในการหาลูกค้าใหม่ นอกจากนั้นยังเพิ่มช่องทางการขายและส่งออกให้มีความหลากหลายมากขึ้น เอื้อธุรกิจเติบโตในระยะยาว พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ SUN ให้เป็นที่รู้จักในช่องทางออนไลน์มากขึ้น
บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2565 ไว้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,797 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตจากปริมาณความต้องการถุงซิปล็อคที่เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรปและสหรัฐ รวมถึงกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ยังคงเป็นตลาดหลักรวมถึงบริษัทมีนโยบายที่จะเน้นสินค้า Own Brand และขยายไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วราว 80-85% ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมแพคเกจจิ้งจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3% ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ราว 15-20% และคาดว่าในปีนี้อุตสาหกรรมแพคเกจจิ้งจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยอุตสาหกรรมแพคเกจจิ้งในปีนี้ยังคงมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบลดลง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ราคาเม็ดพลาสติกซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทที่ใช้ในกระบวนการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นในระยะสั้นอาจมีผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตของบริษัท ซึ่งบริษัทสามารถปรับราคาขายให้เหมาะสมกับต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit