เซ็นท์แอร์ (ScentAir) ผู้นำระดับโลกด้านการทำการตลาดด้วยกลิ่นหอม ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือแบรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลกให้สามารถแก้ปัญหาความวิตกกังวลของลูกค้าได้อย่างราบรื่น ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ทะยานสูงขึ้นในจีนจนส่งผลให้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์บางพื้นที่
นับตั้งแต่เดือนมีนาคม จีนได้ระดมสรรพกำลังเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศ โดยเซี่ยงไฮ้เป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดเพียงแห่งเดียวที่ยังคงอยู่ใต้คำสั่งล็อกดาวน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง (Chinese University of Hong Kong) ประมาณการว่า การล็อกดาวน์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ในหลายเมืองใหญ่อย่างเช่นเซี่ยงไฮ้ อาจทำให้จีนเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 2% ของตัวเลข GDP รายเดือน[1]
ปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันแล้วว่า ไวรัสโคโรนาสามารถแพร่กระจายเชื้อในอากาศได้ ด้วยเหตุนี้ คุณภาพอากาศภายในอาคารจึงกลายมาเป็นสิ่งที่หลายบริษัทต้องเร่งหาทางรับมือ ก่อนที่พวกเขาจะสามารถเดินหน้าธุรกิจหรือพบปะกับลูกค้าต่อไป
งานวิจัยของเซ็นท์แอร์ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2564 ในประเด็นความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อคุณภาพอากาศภายในอาคารและมาตรการด้านความปลอดภัย พบว่า ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดระบาด โดยเฉพาะในประเด็นคุณภาพอากาศในอาคารซึ่งผู้คนกังวลเป็นอย่างมาก โดย 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า อากาศที่สะอาดนั้นมีความสำคัญอย่างมากหากต้องติดต่อธุรกิจในพื้นที่ปิด ส่วนในด้านมาตรการความปลอดภัยนั้น 82% ของผู้ตอบแบบสอบถามยกให้การฟอกอากาศเป็นมาตรการความปลอดภัยที่สำคัญมากที่สุด[2] เมื่อเทียบกับอุปสรรคทางกายภาพอื่น ๆ
เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของคนยุคใหม่ เซ็นท์แอร์จึงได้ทุ่มทุนพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและบรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้เปิดตัวระบบไอออน โพรเทค(TM) (ION Protect(TM)) ซึ่งเป็นระบบฟอกอากาศที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถลดอัตราการจับตัวบนพื้นผิวของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้ถึง 99.8% อีกทั้งยังสามารถยับยั้งเชื้อโรคในอากาศอีกหลายร้อยชนิดโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ผ่านการทดสอบอิสระจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เครื่องฟอกอากาศเซ็นท์แอร์ ไอออน โพรเทค แตกต่างจากเครื่องฟอกอากาศทั่วไปที่รอให้อนุภาคที่เป็นอันตรายไหลผ่านฟิลเตอร์ เพราะระบบนี้จะทำการดักจับมลพิษในอากาศ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเอ็นพีบีไอ(TM) (Needlepoint Bipolar Ionization) ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรนี้จะปล่อยไอออนออกสู่อากาศเพื่อดักจับฝุ่นละลองหรือเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่งผลให้สามารถดำเนินการฆ่าเชื้อได้อย่างต่อเนื่องโดยมีค่าบำรุงรักษาต่ำ
โคลอี้ ฮุย ( Chloe Hui ) รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของเซ็นท์แอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ( ScentAir APAC) กล่าวว่า "เซ็นท์แอร์ ได้สร้างมาตรฐานใหม่แห่งความสะอาด ด้วยการผสมผสานคุณประโยชน์ของการยกระดับคุณภาพอากาศเข้ากับกลิ่นหอมภายในอาคาร ทั้งนี้ ลูกค้าในปัจจุบันไม่เพียงแต่ต้องการสูดกลิ่นหอมเมื่อเหยียบย่างเข้าไปในร้านค้าเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องการบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกสะอาด สดชื่น และปลอดภัย ซึ่งแบรนด์ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้านั้นต่างรับรู้ได้ถึงความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ เนื่องจากหลาย ๆ แบรนด์เลือกเข้ามาปรึกษากับเราเพื่อหาวิธีแก้ไข"
"ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้ช่วยยกระดับอาคารมิกซ์ยูสเกรดเอสูง 31 ชั้นในเขตเทียนเหอ ณ เมืองกว่างโจวของจีน อันเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมไฮเทค ด้วยการผสานโซลูชันกลิ่นหอมอันแสนรื่นรมย์และระบบฟอกอากาศเข้าไปในอาคาร ซึ่งช่วยเปลี่ยนอาคารขนาด 240,000 ตร.ม. ให้กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง และด้วยกระบวนการไอออไนเซชัน (Ionization) ระบบของเราจะช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ดุจดั่งธรรมชาติ โดยปราศจากผลข้างเคียงจากโอโซนที่เป็นพิษใด ๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สถานที่ที่เข้ามาในอาคารรู้สึกมีสุขภาพดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และได้สูดอากาศที่สะอาดขึ้น ส่วนในย่านธุรกิจ ณ ใจกลางเกาะฮ่องกงนั้น เราก็ได้ช่วยให้ร้านอาหารระดับพรีเมียมที่หวังก้าวขึ้นเป็นร้านไลฟ์สไตล์แสนทันสมัยให้สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาได้อีกครั้ง ผ่านการแต่งแต้มบรรยากาศภายในร้านด้วยกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่าดึงดูดใจสำหรับแขกผู้มาเยือน รวมถึงระบบการฟอกอากาศอย่างต่อเนื่องที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจเมื่อมาใช้บริการ นอกจากนี้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จของเซ็นท์แอร์ ไอออน โพรเทค ทางบริษัทจึงได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเฮลธ์เวย์ (HealthWay) เพื่อคิดค้นระบบฟอกอากาศประเภทที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเซ็นท์แอร์ ซึ่งก็คือระบบกรองอากาศที่ผสานด้วยเทคโนโลยีดีเอฟเอส (Disinfecting Filtration System) ที่จดสิทธิบัตรของเฮลธ์เวย์ ส่งผลให้โซลูชันภายในอาคารแบบใหม่ของเซ็นท์แอร์สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ปลอดภัยและสะอาดขึ้นในพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น"
นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ายอดขายเครื่องหอมสำหรับใช้ในบ้านเพิ่มขึ้นเนื่องจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยผลการวิจัยจากเอ็นพีดี กรุ๊ป (NPD Group) ระบุว่า 85% ของผู้บริโภคเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมปรับอากาศในบ้านในปี 2563 โดยเทียนหอมเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนนิยมใช้ในครัวเรือนมากที่สุด โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 17%[3]
โคลอี้กล่าวทิ้งท้ายว่า "ด้วยความที่ปัจจุบันผู้คนเริ่มทำงานจากที่บ้านกันมากขึ้น กลิ่นหอมจึงเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายและเพิ่มประสบการณ์ความสุขในบ้านของเรา เซ็นท์แอร์ยินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยสนับสนุนผู้รับบริการของเราให้มีส่วนร่วมกับลูกค้าของพวกเขามากขึ้นแม้ในขณะที่พักอาศัยอยู่ในบ้าน ด้วยคอลเลกชันผลิตภัณฑ์กลิ่นหอมที่สามารถปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของแต่ละบุคคล เซ็นท์แอร์ได้ช่วยเพิ่มพลังให้กับแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ คูไค (KOOKAI) และเวสติน โฮเทลส์ (Westin Hotels) ให้เป็นที่จดจำตราตรึงในหัวใจของลูกค้า แม้ในช่วงเวลาที่ร้านค้าถูกปิด หรือมีคำสั่งห้ามเดินทาง เรามอบทางเลือกที่สร้างสรรค์ให้กับผู้รับบริการที่อยากเชื่อมสัมพันธ์กับลูกค้าของตนเอง และขยายประสบการณ์ของแบรนด์ส่งตรงไปยังบ้านของลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ"
ข้อมูลอ้างอิง:
เกี่ยวกับเซ็นท์แอร์ :
บจก. เซ็นท์แอร์ เทคโนโลยีส์ (ScentAir Technologies, LLC.) เป็นบริษัทเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ให้บริการโซลูชันด้านการทำการตลาดด้วยกลิ่นหอมชั้นเลิศเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ในฐานะผู้นำด้านการทำการตลาดด้วยกลิ่นหอม บริษัทได้สร้างความประทับใจให้กับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและบริษัทระดับโลกด้วยกลิ่นหอมอันยากจะลืมเลือน พร้อมยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้าด้วยพลังแห่งกลิ่นหอม บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา และยังมีสำนักงานในจีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ทีมงานของบริษัท 425+ คนทั่วโลกให้บริการแก่ลูกค้าใน 119 ประเทศ ผ่านระบบซัพพลายเชนที่ครอบคลุมทั่วโลกและการดำเนินการผลิตในอเมริกาเหนือ, ยุโรป และเอเชีย เซ็นท์แอร์มุ่งมั่นสร้างสรรค์กลยุทธ์ด้านกลิ่นที่ตอบโจทย์ลูกค้า เพื่อสะท้อนถึงอารมณ์ให้กับแบรนด์ของลูกค้า สร้างความภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์ รวมถึงกระตุ้นยอดขาย
สามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ScentAir.com
รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1819419/Today_s_consumers_highly_concerned_air_quality_indoor.jpg
คำบรรยายภาพ: ผลการศึกษาล่าสุดเปิดเผยว่าคุณภาพอากาศภายในอาคารเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุด
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit