ได้แก่ โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ ดำเนินงานภายใต้โครงการตาม พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จำนวน 2 โครงการย่อย ได้แก่ 1) โครงการศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (ICPIM 1) คลังหัวเชื้อจุลินทรีย์กว่า 10,000 ชนิด ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ 380 ล้านบาท ส่งผลกระทบทางสังคม 110 ล้านบาท สร้างผู้ประกอบการได้ 41 ราย ชดเชยการนำเข้าหัวเชื้อจุลินทรีย์ได้ 30% และ 2) โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลางตะวันตก เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม 370 ล้านบาท ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสารชีวภัณฑ์เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชทดแทนสารเคมีทางการและลดการนำเข้าสารเคมี ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และอยุธยา รวมทั้งได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (ICPIM 2) ที่มีกำลังการผลิต 115,000 ลิตรต่อปีโครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชนกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับด้วยนวัตกรรมเกษตร โดยใช้แนวทางมาลัยวิทยสถาน อว.
สนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 90 ล้านบาทต่อปี สร้างแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรม ตลาดไม้ดอกไม้ประดับและผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับในพื้นที่จังหวัดเลยและลำปาง รวมกลุ่มผู้ประกอบการจำนวน 6 กลุ่มเป็นคลัสเตอร์ ประกอบด้วย คลัสเตอร์ไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา เลย สุพรรณบุรี นครนายก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
โครงสร้างพื้นฐานธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน (Community Seed Bank) มุ่งขับเคลื่อน 3 มิติ คือ สำรวจ-อนุรักษ์ วิจัย-นำไปใช้ประโยชน์และให้บริการชุมชน มีศักยภาพอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์พืช 20-50 ปี เก็บรักษาตัวอย่างเมล็ดพืชสูงสุด 10,000 ตัวอย่าง อุตสาหกรรมอาหาร
ได้แก่
โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมและนวัตกรรมอาหารปลอดภัย ประสบผลสำเร็จพัฒนาและทดสอบ ข้าวสมุนไพรที่มีสารสำคัญถั่งเช่า ชาใบข้าว มีคุณสมบัติเด่นช่วยต้านอนุมูลอิสระ สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
โครงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านเทคโนโลยีชีวภาพ พัฒนานวัตกรรมน้ำตาลที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้สมดุล และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตน้ำตาลพาลาทีน ให้แก่ บริษัทน้ำตาลราชบุรี โดยมีกำลังการผลิต 60 ตันต่อปี มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 10 ล้านบาทต่อปี โครงการพัฒนาเทคโนโลยีสกัดโปรตีนเข้มข้นจากพืชฐานชีวภาพของไทยระดับห้องปฏิบัติการ ร่วมกับบริษัทไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สำหรับผลิตเป็นอาหารฟังก์ชั่นสู่เชิงพาณิชย์ (Plant Based Meat) ที่ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ เป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เทียมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง ได้แก่ โครงการพัฒนาสมุนไพรอัตลักษณ์ประจำถิ่น โดยการทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้วิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่านผลิตสารสกัดสมุนไพรส่งให้บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด นำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรตรีผลา มีมูลค่าการตลาด 50 ล้านบาทต่อปี และส่งเสริมสมุนไพรอัตลักษณ์อื่นๆ ในทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น ใบหมี่ มะไฟจีน เบญจมาศ มะขาม ฮ่อม มะพร้าว อะโวคาโด ดอกบัวแดง กล้วยหอมทอง ฝรั่ง เป็นต้น พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากทรัพยากรภายในประเทศ โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ที่มีประสิทธิภาพช่วยปรับสมดุลทางเดินอาหาร ไขมันพอกตับ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยการทำงานของระบบสมอง โดยร่วมวิจัยพัฒนากับบริษัทอินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ในเครือของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โครงการวิจัยและพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากแพะ
สนับสนุนทุนวิจัยโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วิจัยพัฒนานวัตกรรมการสกัดขนแพะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำหอมได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นเฉพาะตัว โดดเด่น ลอกเลียนแบบยาก นำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องสำอางพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงการพัฒนาไบโอเมทานอลจากวัสดุเหลือทิ้ง บริษัท BLCP นำผลงานวิจัยระดับห้องปฏิบัติการไปขยายผลและต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการสร้างโรงงานไบโอเมทานอลต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทยและลดการนำเข้าเมทานอล 100% โครงการแก้ไขปัญหาผักตบชวาและสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในจังหวัดนครพนม ในรูปแบบ "นครพนมโมเดล" ครอบคลุมพื้นที่ 855 ไร่ ใช้สมุนไพรพืชผัก ผลไม้จากพื้นที่พัฒนาเป็นสารสกัดสมุนไพรสำหรับกำจัดผักตบชวาและวัชพืช โดยใช้จุลินทรีย์เป็นตัวกระตุ้นการทำงาน ช่วยออกฤทธิ์การสกัดการสังเคราะห์แสง จากใบจนถึง ราก-เมล็ด-ไหล ของผักตบชวาได้ภายใน 45 วัน พร้อมขยายผลให้ทุกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นศูนย์ปฏิบัติการกำจัดผักตบชวาและวัชพืช โครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติกในชุมชนเพื่อการบูรณาการอย่างยั่งยืน ภายใต้ "ตาลเดี่ยวโมเดล" สร้างรายได้ให้หน่วยงานท้องถิ่นกว่า 10 ล้านบาทต่อปี เพื่อนำขยะกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ครอบคลุมพื้นที่ 4 ภูมิภาค ได้แก่ สระบุรี ชลบุรี เชียงราย และหนองคาย พร้อมขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นๆ ของประเทศ"...ในนามของ วว. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนของสังคมที่สนับสนุนการดำเนินงานของ วว. ด้วยดีเสมอมา แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งประเทศไทยและทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 แต่ วว. ยังคงรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ด้วยความร่วมมือจากทั้งผู้บริหารและบุคลากรที่ร่วมแรงร่วมใจกันปรับตัว เรียนรู้ ให้สอดคล้องกับการทำงานในรูปแบบ New Normal จนเข้าสู่ Next Normal โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ได้อย่างราบรื่น เพื่อ Transform ให้ก้าวไปสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลที่มีความทันสมัย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป สำหรับก้าวต่อไปในปีที่ 60 วว. พร้อมนำศักยภาพองค์กร ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ของบุคลากร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของทุกภาคส่วนของสังคม เป็น Partner for your success และหวังว่าทุกๆ ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งที่ให้การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ วว. ในการก้าวต่อไปข้างหน้าเป็นอย่างดี..." ผู้ว่าการ วว. กล่าวการดำเนินงานข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการสร้างองค์ความรู้ สร้างสรรค์ผลงานวิจัยและพัฒนาตลอดระยะเวลา "59 ปี" ของ วว. คือ ความภาคภูมิใจขององค์กร คือความภาคภูมิใจของบุคลากร ที่ได้ร่วมขับเคลื่อนองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การนำไปใช้และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติในหลายๆ มิติอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ สร้างโอกาสทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในประเทศอย่างยั่งยืนวว. พร้อมให้บริการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้คำแนะนำปรึกษาด้านธุรกิจ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน เสริมแกร่งเกษตรกร ผู้ประกอบการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทร. 0 2577 9000 โทรสาร
0 2577 9009
เว็บไซต์
www.tistr.or.th
E-mail : [email protected]
line@TISTR IG : tistr_ig
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit