ทีมวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ชี้จากการที่กระทรวงแรงงานเตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงเดือน ก.ย. และคาดว่าจะผ่านมติและบังคับใช้ให้ได้ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ส่งผลทำให้ค่าแรงเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ในช่วงประมาณ 330 - 350 บาท ต่อวัน จากฐานเดิม โดยพิจารณาตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัด
ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานไม่มีฝีมือ (Unskilled Labor) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่จะถูกปรับขึ้นค่าแรง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42.4% (อ้างอิงจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ก่อสร้าง และ ภาคบริการ อย่างไรก็ตามประเมินผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และ กำไรบริษัทจดทะเบียน แบบเป็นกลาง (Neutral) เนื่องจาก 1) การปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ จะส่งผลเชิงลบต่อเพียงแค่บางอุตสาหกรรมและธุรกิจ 2) ในเชิงเปรียบเทียบ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้มีอัตราการปรับขึ้นต่ำกว่าครั้งปี 2556 (ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ) อย่างมีนัยสำคัญ 3) ภาคธุรกิจปรับตัวรองรับกับภาวะต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ มาแล้วระยะหนึ่ง (อาทิเช่น ปรับขึ้นราคาขาย ใช้นโยบายลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น) 4) อานิสงค์บวกจากกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคของไทย และหนุนให้ภาครัฐเก็บ Vat ได้มากขึ้น
โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม จากกรณีที่มีการปรับค่าแรงขึ้นต่ำขึ้น 10% จะส่งผล ดังนี้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit