ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง POLY เดินหน้าขายไอพีโอ 120 ล้านหุ้น คาดเทรด SET ปีนี้

11 Aug 2022

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง "บมจ.โพลีเน็ต หรือ POLY" เตรียมเสนอขายไอพีโอ 120 ล้านหุ้น เสริมศักยภาพการขยายธุรกิจชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นด้านนวัตกรรม อาทิ ยานยนต์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ชูความสามารถในการทำกำไรโดดเด่น โตมีนัยสำคัญ พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาด SET ปีนี้

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง POLY เดินหน้าขายไอพีโอ 120 ล้านหุ้น คาดเทรด SET ปีนี้

นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจาก POLY ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 26.7% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของ POLY ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจ ยานยนต์ (AUTO) ภายในปี 2565

โดย POLY มีความพร้อมสำหรับการเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อให้บริษัทก้าวสู่ความเป็นเลิศ ในฐานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจชิ้นส่วนในอุตสาหกรรม ที่มีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบครบวงจร (One-Stop Services) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและมีอุปสงค์ต่อสินค้าในอุตสาหกรรมนั้นสูง ด้วยทีมผู้บริหารที่มากด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี มีการมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและการจัดการในหลายด้านในระดับสากล การเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการเพิ่มศักยภาพในการผลิต และขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ POLY เตรียมนำไปใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ และใช้สำหรับลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม รวมทั้ง ใช้จ่ายคืนหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโต ด้วยต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ

ด้านนางกาญจนา เหลารัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลีเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ POLY เปิดเผยว่า การระดมทุนเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง และเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักลงทุนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของเราในฐานะผู้ผลิตชั้นนำในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ ยาง พลาสติก ซิลิโคน และแม่พิมพ์สำหรับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ชั้นนำของประเทศไทย

ตลอดจน ขยายการเติบโตรองรับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ประกอบด้วย อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ (Automotive) ซึ่งนับว่าในประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และในปี 2564 เริ่มเห็นแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้น มียอดผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึง เทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นโอกาสของบริษัทในอนาคต เนื่องจากความต้องการด้านชิ้นส่วนมีความจำเป็นต่อทั้งรถยนต์เครื่องสันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ POLY ยังขยายไปยังลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical) ในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ที่ต้องใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิต ซึ่งต้องมีทักษะความชำนาญและเทคโนโลยีการผลิตสูง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย และเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการรักษา อีกทั้ง ประเทศไทยมีมูลค่าส่งออกและนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์สูงสุดในอาเซียน สอดรับกับสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้ของบริษัทฯ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

รวมทั้ง อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) อาทิ ตลาดภาชนะและบรรจุภัณฑ์อาหารที่ใช้ในครัวเรือน เพื่อตอบรับกระแสรักสุขภาพและรักษ์โลก นอกจากนี้ ยังเตรียมพร้อมขยายฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เป็นโอกาส

ขณะที่ ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 POLY มีรายได้รวม 271.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 183.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 48.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 29.8 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 17.8% จาก 15.4% ในปี 2564 แม้มีปัจจัยกดดันอัตรากำไรขั้นต้น ได้แก่ การปรับขึ้นราคาของวัตถุดิบปิโตรเคมีจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ยังคงความสามารถในการทำกำไร ขณะที่อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 3.0% ในปี 2562 สู่ 28.2% ในงวดไตรมาส 1/2565 โดยหลักเกิดจากอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานรายได้จากทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายมาจากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ 56.3% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 31.9% และกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ 11.8%

ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 581.7 ล้านบาท 523.2 ล้านบาท และ 787.1 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากการขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และปรับกลยุทธ์ในด้านกำลังการผลิตใหม่ ส่งผลให้ กำไรสุทธิอยู่ที่ 13.1 ล้านบาท 21.8 ล้านบาท และ 120.9 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้ง การใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.7% 19.2% และ 28.3% อัตรากำไรสุทธิ 2.3% 4.2% และ 15.4% ตามลำดับ

HTML::image(