KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) เดินหน้าตอกย้ำตำแหน่งผู้นำบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวเจ้าแรกในไทย จัดงานสัมมนา 2565-2566 Family Wealth Outlook หัวข้อ รู้ทันภาษีทรัพย์สินที่เปลี่ยนไป จัดการอย่างไรไม่ให้เสียประโยชน์ เพื่อให้ข้อมูลด้านภาษีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็น การเตรียมพร้อมกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศที่สรรพากรไทยจะเริ่มต้นส่งข้อมูลภาษีแบบเต็มรูปแบบตามระบบ Common Reporting Standard (CRS) ในเดือนกันยายนปีหน้า รวมไปถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภาษีทรัพย์สินและกฎหมายในประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคาร พร้อมแนะนำแนวทางการบริหารจัดการสินทรัพย์เพื่อให้การส่งต่อทรัพย์สินของครอบครัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยถือเป็นผู้ให้บริการไพรเวทแบงก์รายแรกในไทยที่ส่งมอบ "บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัว (Family Wealth Planning Service)" ซึ่งบริการนี้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าบุคคลสินทรัพย์ในด้านการเก็บรักษา (Wealth Preservation) และ การส่งต่อ (Wealth Transfer) ซึ่งในอดีตการเก็บรักษาและการส่งต่อทรัพย์สินในครอบครัวไม่ยุ่งยากและไม่ซับซ้อน เนื่องจากทั้งปริมาณของทรัพย์สินและจำนวนของสมาชิกครอบครัวมีไม่มาก แต่ในปัจจุบันยังมีปัจจัยด้านภาษีในระดับโลกที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีจากความร่วมมือของหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงในประเทศไทย ที่มีทั้งภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก ภาษีการขายหุ้น และภาษีลาภลอย ที่ค่อยๆ ทยอยมีผลบังคับใช้ อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้การจัดเก็บและการส่งต่อทรัพย์สินซับซ้อนยิ่งขึ้น
นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อลดช่องโหว่ของการเก็บภาษี รัฐบาลต่างๆ จึงพยายามที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งหลักๆ ก็คือการรับรู้แหล่งเงินได้ของผู้เสียภาษีที่ดูจากทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องที่อยู่กับสถาบันการเงิน ที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ได้ ปัจจุบันมีระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี 2 ระบบ คือ
1) Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่สัญญา เป็นการรายงานข้อมูลแหล่งเงินได้ของผู้ถือสัญชาติอเมริกันไปยังสรรพากรสหรัฐฯ ซึ่งระบบนี้จะกระทบต่อคนไทยที่ถือสัญชาติอเมริกัน ทั้งนี้ ประเทศคู่สัญญาจะเลือกแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสหรัฐฯ หรือไม่ก็ได้
2) Common Reporting Standards (CRS) เป็นระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างสมาชิกในกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ที่มีจำนวนสมาชิกกว่า 140 ประเทศ และไทยก็เป็นหนึ่งในสมาชิก เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลแหล่งเงินได้ของคนที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีของประเทศคู่สัญญาระหว่างกัน
โดยในเดือนกันยายน 2561 ประเทศไทยได้เข้าร่วมกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีของ OECD และในเดือนกันยายนปี 2566 กรมสรรพากรของไทยเริ่มส่งข้อมูลทางภาษีเต็มรูปแบบเมื่อมีการออกกฎหมายลำดับรองเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีผ่านระบบ CRS จะส่งผลกระทบต่อคนไทย / บริษัทไทย ดังนี้
1) ภาษีเงินได้ สำหรับคนไทยที่มีเงินได้ในต่างประเทศ ไม่มีผลกระทบในเรื่องเสียภาษีแต่อย่างใด ในขณะที่บริษัทไทยที่มีรายได้ในต่างประเทศ ต้องนำมารวมเสียภาษีในไทย หากไม่นำมารวม กรมสรรพากรจะทราบข้อมูลทันที
2) ภาษีการรับมรดก สำหรับคนไทยที่ได้รับทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ เช่น บัญชีเงินฝาก หุ้น เงินลงทุน ต่าง ๆ เป็นมรดก ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการรับมรดกในไทย กรมสรรพากรจะทราบข้อมูลทันที ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรายงานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ มีเพียงการรายงานข้อมูลทางการเงินเท่านั้น
3) การนำเงินได้ต่างประเทศกลับเข้าประเทศไทย ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนไทยที่มีเงินได้จากการทำธุรกรรมในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ / ครั้ง ต้องนำกลับเข้าประเทศไทยภายใน 360 วัน นับแต่วันทำธุรกรรม เว้นแต่มีการขอผ่อนผัน ถ้ามีการส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐของไทย ธปท. จะทราบทันที หากไม่นำกลับเข้ามาภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการยื่นขอผ่อนผัน
ดังนั้น KBank Private Banking แนะนำให้ขอคำปรึกษา การวางแผนภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้เสียภาษีไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของอนุสัญญาภาษีซ้อนที่ประเทศไทยมีกับประเทศคู่สัญญาต่างๆ ได้
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีทรัพย์สินและกฎหมายในประเทศไทยที่ส่งผลต่อความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็น
นายพีระพัฒน์ กล่าวปิดท้ายว่า การพัฒนาของระบบการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งระบบไอทีแพลตฟอร์มที่ทันสมัยที่ได้รับการพัฒนาและนำมาใช้แทนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานจัดเก็บภาษีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ช่องโหว่ในการเลี่ยงหรือหลบภาษีน้อยลง อย่างไรก็ตาม KBank Private Banking มองว่าการกระจายทรัพย์สินหรือการลงทุนไปในต่างประเทศยังเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีทรัพย์สินและกฎหมายในประเทศไทย ที่อาจจะกระทบต่อความมั่งคั่ง หากไม่มีการวางแผนให้ดีทรัพย์สินที่มีมากมาย อาจสร้างภาระทางด้านภาษีที่หนักอึ้งให้แก่ลูกหลาน ดังนั้น KBank Private Banking จึงแนะนำให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงที่มีภาระทางภาษีมากกว่าคนทั่วไปเลือกการบริหารและวางแผนภาษีแทนการหลบภาษีหรือปิดบังข้อมูลแหล่งเงินได้ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อวางแผนการบริหารภาษีและสินทรัพย์ของครอบครัวโดยคำนึงถึงต้นทุนทางภาษีที่ต้องแบกรับ และวางแผนป้องกันพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือควรรีบลงมือทำ
สำหรับผู้ที่สนใจรับชมงานสัมมนา รู้ทันภาษีทรัพย์สินที่เปลี่ยนไป จัดการอย่างไรไม่ให้เสียประโยชน์ ย้อนหลัง สามารถคลิกรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Oj4fTx95cU8&t=2s
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit