GDP ไตรมาส 4 ปี 2564 ขยายตัว 1.9% YoY คาดยังมีแนวโน้มฟื้นตัวแบบไม่เท่าเทียม โดยในไตรมาสแรกจะชะลอตัวจากการระบาดของไวรัสโอมิครอน สภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนขยายตัว 1.9% YoY ดีกว่าที่นักวิเคราะห์และวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ 0.7% และ 0.8% ตามลำดับ ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เติบโตเร่งขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการเบิกจ่ายเงินกู้จากพ.ร.ก.กู้เงินฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ด้านการส่งออกสินค้าและบริการเติบโตดีจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศและการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียงเล็กน้อย และการลงทุนภาคเอกชนกลับมาหดตัวซึ่งส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะจากการสิ้นสุดลงของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู สำหรับทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยเติบโต 1.6% ดีกว่าที่นักวิเคราะห์และวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ 1.1% และ 1.2% ตามลำดับ เทียบกับปี 2563 ที่ -6.2% ส่วนในปี 2565 สภาพัฒน์ฯ ยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ที่ 3.5 - 4.5%
ตัวเลข GDP ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนที่ออกมาดีกว่าคาด ไม่ได้สะท้อนถึงปัจจัยบวกเพิ่มเติมต่อมุมมองเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า วิจัยกรุงศรีจึงยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวที่ 3.7% โดย GDP ในไตรมาสแรกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากไตรมาสก่อน ผลจากการระบาดของไวรัสโอมิครอนแต่คาดว่าผลกระทบจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดมีความเข้มงวดไม่มากเท่ากับการระบาดในรอบก่อนหน้า ประกอบกับการฉีดวัคซีนเพื่อเร่งสร้างภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี คาดว่าในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ปัจจัยหนุนจาก i) การเติบโตของภาคส่งออกที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมภาคการผลิตและการลงทุนตามมา ii) ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวแม้ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อยู่มาก และ iii) การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวตามมาตรการผ่อนคลาย ประกอบกับได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ( 5.32 หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นในปัจจุบันอาจบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค และเป็นผลให้การเติบโตของการบริโภคยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มากตามกลุ่มรายได้ สะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มเปราะบาง
มาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน ช่วยให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ถึงเดือนพฤษภาคม โดยรัฐบาลอนุมัติการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงจากเดิมจัดเก็บ 5.99 บาทต่อลิตร ปรับเป็น 3.20 บาทต่อลิตร หรือลดลง 2.79 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในปัจจุบันลดลงจาก 29.94 บาทลิตร เป็น 27.94 บาท/ลิตร ทั้งนี้ ทางการคาดรายได้จากภาษีที่จะสูญเสียจากการออกมาตรการนี้ประมาณ 1.71 หมื่นล้านบาท
ผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 90.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นกว่า 24% จากสิ้นปีก่อน ส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพและต้นทุนในการการประกอบกิจการ ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจกำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการฟื้นตัว นอกจากนี้ จากผลการวิเคราะห์ของกระทรวงพาณิชย์พบว่าหากราคาน้ำมันดีเซลมีการปรับขึ้น 5 บาท/ลิตร (จาก 25 เป็น 30 บาท/ลิตร) จะส่งผลต่อต้นทุนสินค้าในหมวดต่างๆ เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่มต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.45% วัสดุก่อสร้าง 1.2% หมวดของใช้ประจำวัน 1.1% และปัจจัยเกษตร 0.5% เป็นต้น มาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซลดังกล่าวจึงมีส่วนช่วยในการชะลอการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในช่วงที่แรงกดดันจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit