นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า จากบทสรุปการประชุม FOMC เดือน ก.ย. ในวันที่ 21-22 ก.ย. ที่ผ่านมา แม้ว่านาย Jerome Powell ประธาน FED จะยังไม่ระบุจุดเริ่มต้นการลดขนาด QE (QE Tapering) แต่ในทางกลับกันมีการส่งสัญญาณว่าการลดขนาด QE จะสิ้นสุดลงประมาณกลางปี 2566 ซึ่งหากพิจารณาจากวงเงินการซื้อสินทรัพย์ที่ระดับ 1.2 แสนล้านเหรียญฯ (แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล 8 หมื่นล้านเหรียญฯ และ MBS 4 หมื่นล้านเหรียญฯ) อัตราการลดขนาดซื้อสินทรัพย์ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ลดลง 1.5 หมื่นล้านเหรียญฯต่อเดือน (แบ่งเป็น พันธบัตรรัฐบาล 1 หมื่นล้านเหรียญฯ และ MBS 0.5 หมื่นล้านเหรียญฯ) ดังนั้น จึงประเมินว่าจุดเริ่มต้น QE Tapering จะเป็น พ.ย. 2564 และ Fed จะประกาศจบโครงการ QE อย่างเป็นทางการในการประชุม FOMC เดือน มิ.ย. 2565
นอกจากนี้ Fed ยังส่งสัญญาณต่อมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้น สอดคล้องกับ Dot Plot ซึ่งบ่งชี้โอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม (สมาชิก Fed จำนวน 9 ราย ให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปี 2565 ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจาก 7 ราย ในการประชุมเดือน มิ.ย.) นอกจากนี้หากประเมินลงในรายละเอียดจะพบว่า 3 ใน 9 ราย ให้น้ำหนักการปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า หากโครงการ QE สิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 2565 และจากสมมติฐานที่ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC ครั้งใหญ่ในเดือนสุดท้ายของแต่ละไตรมาส นั่นคือ Fed มีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือน ก.ย. 2565 (แต่ยังเป็นมุมมองของสมาชิกส่วนน้อยจำนวน Fed 3 ราย จากสมาชิกที่ลงมติทั้งหมด 18 ราย) จุดเริ่มต้นเข้าสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายกลับสู่ภาวะปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งจากทางฝั่ง Fed ถือเป็นธนาคารกลางชาติมหาอำนาจประเทศแรกที่ส่งสัญญาณอย่างเป็นทางการ และน่าจะตามมาด้วย ECB ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุด (9 ก.ย.) มีการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าขนาดการซื้อคืนสินทรัพย์ในโครงการ PEPP ในไตรมาส 4Q64 จะต่ำกว่าในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าการลดขนาดการกระตุ้นด้านการเงินทั่วโลก จะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวกลับมาจากภาวะวิกฤตได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในทางกลับกันก็ทำให้สภาพคล่องในระบบจากการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อยๆ ลดลง กดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งหากย้อนไปมองถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลดขนาดการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งที่ผ่านมา (QE Tapering Tantrum 2556) พบว่าหลังการประกาศอย่างเป็นทางการตลาดหุ้นทั่วโลกจะเข้าสู่ช่วงการปรับสมดุล
สำหรับผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยน่าจะจำกัด เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันแตกต่างจากหุ้นไทยในช่วง QE Tapering ปี2556 อยู่หลายประการ เช่น 1) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มที่ Underperform หากเทียบกับตลาดสหรัฐฯ และยุโรป เมื่อเทียบกับช่วงการส่งสัญญาณ QE Tapering ปี 2556 ที่ตลาดหุ้นไทย Outperform ตลาดอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นสภาพคล่องที่อาจลดลงคาดจะกระทบตลาดหุ้นไทยจำกัด 2) ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ประโยชน์จากสภาพคล่องการทำ QE4 และ โครงการ PEPP สะท้อนจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสูงถึงระดับ 2.65 แสนล้านบาท ต่างจากในช่วง 2552-2556 ที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 1.96 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงคาดผลกระทบรอบนี้ต่อ SET จึงน่าจะจำกัดเช่นกัน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit