จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน พร้อมด้วยบรรดาผู้ให้การสนับสนุนและผู้เชี่ยวชาญ ได้มารวมตัวกันเพื่อหารือแนวทางรับมือวิกฤตวัณโรคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ( WHO) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนผู้ป่วยวัณโรครายใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลก
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน และ 7 ธันวาคม จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) พร้อมด้วยบุคลากรจากกองควบคุมวัณโรคแห่งชาติ (National Tuberculosis Program) จากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ได้จัดการประชุมสถานการณ์วัณโรคประจำเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2564 ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความก้าวหน้าในการยุติโรควัณโรคในภูมิภาค เนื่องจากถึงแม้โรคดังกล่าวจะป้องกันและรักษาให้หายขาดได้ แต่วัณโรคยังคงเป็นโรคติดเชื้อที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับต้น ๆ ในเอเชียแปซิฟิก
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นทางออนไลน์เป็นเวลา 2 วันภายใต้หัวข้อ United Against TB (รวมพลังสู้วัณโรค) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเกือบ 500 ราย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้นำ ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานเอ็นจีโอ และแพทย์จากหลายประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ วิทยากรจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ได้ร่วมแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ตลอดจนองค์ความรู้ ความท้าทาย และคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งทุกประเทศมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งตั้งเป้าที่จะกำจัดวัณโรคให้หมดไปจากโลกใบนี้ภายในปี 2573
ประเด็นหลักในการหารือครั้งนี้คือการพัฒนาการติดตามเคสผู้ป่วยใหม่ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่หนักหนาเป็นอันดับต้น ๆ ในการต่อสู้กับวัณโรค เนื่องจากในเอเชียแปซิฟิก อัตราการป่วยเป็นโรควัณโรคอยู่ที่ราว 6.1 ล้านคนในปี 2563 แต่มีการแจ้งยอดผู้ป่วยเพียง 3.9 ล้านคนเท่านั้น[1] นอกจากนี้ ประเทศสมาชิก WHO ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นกลุ่มประเทศที่รับภาระด้านวัณโรคหนักมากที่สุดในโลก โดยมียอดผู้ป่วยใหม่สูงสุดถึง 43% จากจำนวนผู้ป่วยใหม่ทั่วโลกในปี 2563[2] ขณะเดียวกันยังมีรายงานว่า ผู้ป่วยวัณโรค 4 ใน 10 รายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือแม้กระทั่งไม่ได้รับการรักษา[3] ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่บั่นทอนกำลังของระบบสาธารณสุขซึ่งรับภาระหนักจากโควิด-19 อยู่ด้วยแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว ตัวเลขของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคในประเทศที่มีอัตราการรักษาต่ำอยู่แล้วนั้นจึงทรุดหนักลงไปอีก แตะระดับเดียวกับปี 2551 ถือเป็นอุปสรรคที่สกัดความก้าวหน้าของเป้าหมายที่จะขจัดวัณโรคให้หมดไป[4]
อานา-มาเรีย โยเนสคู หัวหน้าสาขาวัณโรคระดับโลกแห่งสถาบันจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โกลบอล พับบลิค เฮลธ์ กล่าวเกี่ยวกับการประชุมนี้ว่า "การประชุมครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง และนวัตกรรมของชุมชนวัณโรคและแผนงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระดับการช่วยชีวิตผู้ป่วย ตลอดจนความต่อเนื่องของบริการด้านการรักษาซึ่งจำเป็นต่อผู้ป่วยวัณโรคจำนวนมาก พร้อมลดผลกระทบในเชิงลบที่เป็นผลพวงจากโควิด-19 จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มุ่งมั่นที่จะปลดล็อกนวัตกรรมในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และในระดับโลก เพื่อค้นหาผู้ป่วยที่ยังตกค้างและไม่ได้รับการรักษา ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่เรามีร่วมกัน นั่นคือการขจัดวัณโรคให้หมดไป"
ในการกำหนดแผนงานเพื่อสร้างกลยุทธ์ในการค้นหาผู้ป่วยใหม่ในอนาคต การประชุมครั้งนี้จึงได้เน้นหารือเกี่ยวกับการยกระดับการคิดเชิงนวัตกรรม เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน เพื่อเร่งนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้งานจริงในชุมชน
ภายในการประชุมยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนเยาวชนให้มีส่วนร่วมกับการยุติวัณโรค ทั้งนี้ คนหนุ่มสาวที่มีอายุตั้งแต่ 15-34 ปีได้รับผลกระทบจากวัณโรคในสัดส่วนที่มากกว่ากลุ่มอื่น โดยเป็นกลุ่มอายุที่รับภาระจากโรคดังกล่าวหนักที่สุด[5] จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ตระหนักดีว่า ก้าวแรกที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือการผลักดันคนหนุ่มสาวเหล่านี้ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในความพยายามของแผนงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ และริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ที่จะผลักดันให้เยาวชนเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แจคกี แฮทฟิลด์ หัวหน้าพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านวัณโรคของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า "เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะไม่มีเยาวชนคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เราจะต้องมองว่าเยาวชนทุกคนคือตัวแทนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในการรับมือกับปัญหาเกี่ยวกับวัณโรค อาทิ ช่องว่างระหว่างความตระหนักและการเข้าถึง รวมถึงการเผชิญหน้ากับปัญหาการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติ เราตั้งตารอที่จะยกระดับการมีส่วนร่วมกับเยาวชน เพื่อส่งเสียงของพวกเขาเพื่อยุติวัณโรค"
คลิกที่นี่เพื่อรับชมคำพูดของวิทยากรจากแต่ละพื้นที่
[1] Tuberculosis profile: WHO Western Pacific Region and South-East Asia Region.
[2] World Health Organisation (2021). Global Tuberculosis Report.
[3] Stop TB Partnership. The Missing 3 Million.
[4] Stop TB Partnership (2021) One year on, new data show global impact of COVID-19 on TB epidemic is worse than expected.
[5] World Health Organization. Mobilizing youth to end TB.
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit