ทีมอาจารย์นักออกแบบรุ่นใหม่จากจุฬาฯ รวมพลังสร้างแบรนด์ผ้าทอเมืองน่านยึดหลักเก่าผสานใหม่ออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย ส่งเสริมช่องทางตลาดพร้อมปักหมุดเส้นทางการท่องเที่ยวผ่านวัฒนธรรมผ้าทอ
ผ้าทอพื้นเมืองเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมซึ่งหากจัดวางหรือออกแบบให้ร่วมสมัยก็จะเป็นต้นทุนสำคัญที่ช่วยต่อลมหายใจให้ชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
นี่เป็นแนวคิดสำคัญที่ศาสตราจารย์ ดร.พัดชา อุทิศวรรณกุล หัวหน้าหน่วยวิจัยแฟชั่นและนฤมิตศิลป์ ภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระดมพลังอาจารย์นักออกแบบรุ่นใหม่พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมือง นำการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ (Cultural Creative Tourism) ด้วยความหวังจะช่วยให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
"เราผนึกองค์ความรู้จากคณาจารย์จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแฟชั่นสิ่งทอและนฤมิตศิลป์ เพื่อพัฒนาสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์จำเพาะจากทุนวัฒนธรรมของจังหวัดน่านสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมในระบบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เหมาะกับทุนนวัตกรรมพื้นถิ่น" ศ.ดร.พัดชา อธิบายจุดมุ่งหมายของโครงการนวัตกรรมอุสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์จังหวัดน่านสู่สากล เพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ภายใต้การสนับสนุนจากโครงการสร้างเสริมพลังจุฬาฯ ก้าวสู่ศตวรรษที่ 2 (C2F)
8 คลัสเตอร์ รีแบรนด์เอกลักษณ์ผ้าทอเมืองน่าน
โครงการวิจัยเริ่มต้นด้วยการศึกษาปัญหาของอุตสาหกรรมผ้าทอพื้นเมือง ซึ่ง ศ.ดร.พัดชา และทีมอาจารย์นักวิจัยได้ลงไปสำรวจปัญหาในพื้นที่ 5 อำเภอจังหวัดน่าน ได้แก่ อ.เมือง อ.เวียงสา อ.ท่าวังผา อ.สองแคว และ อ.ปัว
"หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เราพบคือคนรุ่นใหม่ไม่สนใจสานต่ออุตสาหกรรมการทอผ้าจากบรรพบุรุษ เพราะมองไม่เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ ไม่เห็นช่องทางการตลาดหรือแนวทางการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับยุคสมัย" ศ.ดร.พัดชา เผย
จากปัญหาดังกล่าวนำมาสู่แนวทางการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอ
"ผ้าไทยไม่จำเป็นต้องสวมใส่แบบเดิมอย่างโบราณ เราพยายามดึงไอเท็มร่วมสมัยและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสมไว้ด้วยกันออกแบบให้เป็นแฟชันสมัยนิยม มีความร่วมสมัยที่คนอยากหยิบจับมาสวมใส่ เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายคนเมืองที่จะสวมใส่ได้ในโอกาสต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งลำลอง เดรส แจ็กเก็ต สเกิร์ตชุดพิธีการ เป็นต้น"
ใน 5 อำเภอที่เป็นพื้นที่ศึกษาของโครงการฯศ.ดร.พัดชา แบ่งกลุ่มผู้ผลิตและประกอบการผ้าทอเป็น 8 คลัสเตอร์โดยนำเสนออัตลักษณ์ผ้าทอและผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว ได้แก่
นวัตกรรมเส้นใยจากขยะการเกษตร สู่แฟชั่น
"ทุกวันนี้เราใส่ขยะรีไซเคิลอยู่นะ" ศ.ดร.พัดชาให้แง่คิดในฐานะผู้อยู่ในวงการแฟชั่น ซึ่งปัจจุบ้นเริ่มตั้งคำถามกับ "Fast Fashion"การซื้อเสื้อผ้าตามกระแสนิยม ที่มาเร็วไปไว้ ใช้แล้วทิ้ง จนสร้างปัญหาขยะ
"ปัจจุบัน ความยั่งยืนเป็นกระแสสังคมและสิ่งแวดล้อมในโครงการฯ เราจึงพยายามทำงานแบบข้ามศาสตร์เพื่อสร้างนวัตกรรมบนสิ่งทอ แปรรูปขยะทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่ม เช่น นำมาทอเป็นเส้นใย เป็นต้น" ศ.ดร.พัดชา
"ในจังหวัดน่าน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพตัดไผ่เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์ เวลาตัดไผ่หนึ่งต้นด้านบนขอไผ่จะถูกนำไปแปรรูปเป็นตะเกียบ ไม้จิ้มอาหาร แล้วเหลือเศษไผ่ฝอยๆ ที่ได้จากการเหลาไม้เราจึงนำเศษฝอยเหล่านี้มาปั่นและตีจนเป็นเส้นใยเพื่อทอเป็นผ้าร่วมกับเส้นไหมหรือฝ้าย เพิ่มมูลค่าและลดปัญหาอันเกิดจากขยะได้ในอีกทาง" ดร.พัดชาอธิบายแนวทางของหน่วยวิจัยนวัตกรรม ซึ่งได้ชักชวนกลุ่มชาวบ้านให้เห็นโอกาสจากการแปรรูปเศษไผ่ และสร้างเครือข่ายผู้ผลิตรายย่อยและกลุ่มผู้ประกอบการผ้าทอท้องถิ่น
3 เส้นทางท่องเที่ยวสายผ้าทอ "ภูษาพาจร"
หนึ่งในวิธีที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอของจังหวัดน่านให้พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและครบวงจรคือการจัดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีจุดเน้นที่ผ้าทอ ทั้งนี้ โครงการฯ ได้ปักหมุดทริปท่องเที่ยว 3 เส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวหลากหลายแนว ได้แก่
ตลาดผ้าทอถักทอโอกาสเศรษฐกิจชุมชน
เมื่อมีแหล่งทอผ้าคุณภาพแล้ว นักออกแบบก็พร้อมผลิตสินค้า คนใส่ก็พร้อมทดลอง แต่ทำไมกลุ่มคนเหล่านี้ไม่เจอกัน? ศ.ดร.พัดชา มองเห็นปัญหาจากโครงการวิจัยที่ผ่านมา และเกิดไอเดียต่อยอดที่จะทำให้วงการผ้าไทยไหลเวียนอย่างเป็นวงจร
"เราต้องสร้างโรงงานนำร่องผลิตเส้นใยให้กับชุมชน ผลิตเส้นใยธรรมชาติเหลือใช้ต่างๆ" ศ.ดร.พัดชา กล่าว
"เราพบว่าดีไซเนอร์ท้องถิ่นหรือผู้ประกอบการขนาดย่อมไม่สามารถผลิตผ้าเป็นของตัวเองได้เนื่องจากการผลิตผ้าในระดับโรงงานต้องมีออเดอร์จำนวนมากถึงจะสั่งทอผ้าได้ แล้วหากจะตีไผ่ปั่นด้ายเองก็ล่าช้าใช้กำลังคนจำนวนมาก ดังนั้น หากเราสามารถทำโรงงานนำร่องผลิตเส้นใยได้ ดีไซเนอร์ที่ต้องการผ้าจำนวนไม่มาก เช่น ออเดอร์เพียง 50 หลา ก็สามารถผลิตผ้าและสร้างสรรค์คอลเลกชันของตัวเองได้"
ศ.ดร.พัดชา กล่าวว่าหากโครงการวิจัยฯ ได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ระยะต่อไปที่จะลงมือสานต่อคือการให้แต่ละชุมชนมีเครื่องมือที่ดีดเส้นใยได้ ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนขายได้ทั้งเส้นด้ายและผ้าทอ เป็นการเพิ่มโอกาสทางอาชีพมากขึ้น อีกทั้งดีไซเนอร์รุ่นใหม่จะได้สร้างสรรค์แฟชันที่ตอบโจทย์ยุคสมัยและกระแสความยั่งยืน และยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพสู่สากลด้วย
สนใจเส้นทางภูษาพาจร และ 8 คลัสเตอร์ผ้าทอเมืองน่าน เข้ารับชมผ่านลิงก์แค็ตตาล็อก
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit