ECF เผยผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 64 รายได้รวม 1,156.20 ล้านบาท โต 16.31 % กำไรสุทธิ 35.54 ล้านบาท ชี้แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4/64 เติบโตดี ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เข้าไฮซีซั่น ออเดอร์ส่งออกลูกค้าญี่ปุ่น อินเดีย อเมริกา ทะลัก ดันยอดขายต่างประเทศพุ่ง เตรียมเพิ่มกำลังการผลิต เร่งส่งสินค้า มุ่งเน้นกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุนในการขายและบริหาร เพิ่มความสามารถในการทำกำไร
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2564 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,156.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 994.08 ล้านบาท จำนวน 162.12 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.31 % และมีกำไรส่วนของบริษัทเท่ากับ 35.54 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรดังกล่าว 37.20 ล้านบาท หรือ ลดลง 4.46 %
ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 342.31 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 406.40 ล้านบาท จำนวน 64.09 ล้านบาท หรือปรับตัวลดลง 15.77 % และมีกำไรส่วนของบริษัทเท่ากับ 5.45 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรดังกล่าว 21.91 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ในส่วนของรายได้รวม ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากรายได้การจำหน่ายในประเทศและรายได้การส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาเติบโต กลุ่มลูกค้าประเทศญี่ปุ่น 2 % สหรัฐอเมริกา 106.93 % และอินเดีย 30.36 %
ขณะที่ กำไรส่วนของบริษัททั้งของไตรมาส 3/64 และ งวด 9 เดือนปี 64 ปรับตัวลดลง เนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ภายในประเทศ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค.ถึงช่วงเดือนต.ค. 64 ส่งผลให้ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่เป็นลูกค้าหลักภายในประเทศ ไม่สามารถจำหน่ายสินค้ารวมถึงถูกจำกัดเวลาเปิด- ปิดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ยอดรับสินค้าเข้าลดลงไม่เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบกับที่ตั้งโรงงานการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของบริษัท จ.ระยอง อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามมาตรการภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก่อให้เกิดข้อจำกัดเวลา หรือเคอร์ฟิว ส่งผลให้บริษัทมีระยะเวลาการผลิตสินค้าลดลง รวมถึงระยะเวลาการขึ้นของเพื่อส่งสินค้าลดลงเช่นกัน ในขณะที่บริษัทมีคำสั่งซื้อเข้ามามากในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้ง เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันสามารถเปิดการผลิตได้ตามปกติเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นการวางแผนบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการ ซึ่งเริ่มเห็นผลจากนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับเตรียมที่จะหาแนวทางการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตผ่านการเสริมเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อหาทางลดต้นทุนด้านค่าแรงงานต่อไป
นายอารักษ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 4/64 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/64 และน่าจะมีสัญญาณดีขึ้น ในลักษณะค่อยๆฟื้นตัว จากนโยบายการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งการขยายตลาดต่างประเทศ มีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ จากกลุ่มลูกค้ารายใหม่ในญี่ปุ่นและกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่บริษัทขยายฐานการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปประเทศอินเดีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อรองรับออเดอร์จากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 65% และในประเทศอยู่ที่ 35%
ขณะที่ตลาดในประเทศ กระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่ อาทิ ร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศพร้อมกับแผนการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท บริษัท โซเมว่า พลาซ่า จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจออนไลน์แพลทฟอร์ม และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในไตรมาส 1/65 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท
สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ที่ปัจจุบันรับรู้รายได้เฟสที่ 1 จำนวน 50 MW แล้ว สำหรับเฟส 2 3 และ 4 ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสัญญาณความล่าช้าเกิดขึ้นบ้างจากสถานการณ์ COVID-19 และการเมืองภายในเมียนมาร์ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นครบทั้งสี่เฟสภายในไม่เกินสิ้นปี 2565 นี้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit