บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ทำรายได้รวม 10,864.0 ล้านบาท เติบโต 32.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 4,532.8 ล้านบาท เติบโต 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับกำลังการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น หลังเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่แล้ว 3 แห่งในปีนี้ ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ตั้งเป้ารักษาผลการดำเนินงานในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 สามารถสร้างการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทำรายได้รวม 10,864.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,532.8 ล้านบาท เติบโต 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แม้มีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายในบางประเทศและอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยาง
การเติบโตในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มาจากกำลังการผลิตและปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หลังจากบริษัทเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่ในปีนี้แล้ว 3 แห่งตามแผน ได้แก่ โรงงานสุราษฎร์ธานี 2 (SR 2)โรงงานสุราษฎร์ธานี 3 (SR 3) และ ที่เริ่มเดินเครื่องจักรเดือนกันยายนที่ผ่านมา คือ โรงงานอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา (PS) จากแผนเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่รวม 4 แห่งภายในปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรในโรงงานตรัง 3 (TG 3) คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตในปี 2565
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2564
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 ยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยมีรายได้รวม 39,265.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 21,864.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 271.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ถูกชดเชยด้วยปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามธุรกิจด้านการแพทย์ อุตสาหกรรมการผลิต และภาคการบริการที่มุ่งเน้นความสะอาดยังคงมีความต้องการใช้สินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้บริโภค
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าผลประกอบการปี 2564 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากกำลังการผลิตและปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น แม้ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยทยอยปรับลดลง โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งขยายตลาดเพื่อรักษาผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมที่จะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด, จัดตั้งบริษัทย่อยในอินโดนีเซียเพื่อดูแลด้านการจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อกระจายสินค้าได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้น, คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit