ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถเพื่อมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็งเต้านมสำเร็จแห่งแรกของโลก เผยผลเซลล์มะเร็งคนไข้รายแรกเป็นศูนย์ อาการข้างเคียงน้อย คุณภาพชีวิตเพิ่มหลังจากรักษามะเร็งเต้านมด้วยวิธีการต่างๆ แล้ว มะเร็งยังกลับมาเป็นซ้ำและลุกลามไปยังตับ ปอด และกระดูก เพลินพิศ โกแวร์ ตัดสินใจยุติการรักษาเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือกับลูกสาว จนกระทั่ง รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ หัวหน้าศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถเพื่อมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แนะนำการรักษาด้วย "ภูมิคุ้มกันบำบัด" เธอก็กลับมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
"อาการต่างๆ ดีขึ้น หลังจากฉีดเซลล์ภูมิคุ้มกันไปแล้ว 6 เดือน จากที่ต้องนั่งรถเข็น เดินไม่สะดวก เพราะกระดูกทรุดตัว ตอนนี้ เดินขึ้น-ลงบันไดได้โดยไม่เหนื่อย อาการปวดกระดูกหายไป ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด ผลการเจาะตรวจชิ้นเนื้อจากตับที่มีเซลล์มะเร็งแพร่กระจาย ก็ไม่พบเซลล์มะเร็งเหลืออยู่" เพลินพิศ กล่าวด้วยรอยยิ้ม และเสริมว่า อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษามีเพียงตุ่มน้ำใส และปวดตามข้อเล็กน้อยเท่านั้น
ทุกวันนี้ เพลินพิศ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงต้องระวังการเคลื่อนไหวบริเวณหลังและคอ เนื่องจากกระดูกทรุด อันเป็นผลจากมะเร็งที่เป็นมาหลายปีก่อนหน้านี้
มะเร็งเต้านม ภัยอันดับหนึ่งของหญิงทั่วโลกและไทย
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก และผู้หญิงไทยก็เป็นมะเร็งชนิดนี้มากที่สุดด้วย การรักษามะเร็งเต้านมตามมาตรฐานโลกมีหลายวิธี อาทิ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด การฉายรังสี การใช้ยาต้านฮอร์โมน การรักษาด้วยยาพุ่งเป้า และการผ่าตัดเต้านม แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แม้จะรักษาด้วยวิธีการเหล่านั้นแล้ว มะเร็งก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
"ระบบภูมิคุ้มกันเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษามะเร็ง ในต่างประเทศมีการคิดค้นเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาปรับใช้กับการรักษามะเร็งเต้านมและยังไม่มีการรักษาแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับคนไข้แต่ละราย" รศ.นพ.กฤษณ์ กล่าว
"ทางศูนย์ฯ ศึกษาเรื่องนี้มานาน มีการเตรียมความพร้อม ทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ และทีมบุคลากรทางการแพทย์ จนค้นพบวิธีการและแนวทางการรักษามะเร็งเต้านมด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดที่คาดว่าจะสามารถช่วยคนไข้ได้"
ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็งเต้านมอย่างไร
รศ.นพ.กฤษณ์ อธิบายว่าภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นการใช้เซลล์ภูมิคุ้มกันพื้นฐานที่มีมากที่สุดในร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (T-cell) แล้วให้ไปกำจัดเซลล์มะเร็ง
"ระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ภูมิคุ้มกันจะทำงาน แต่เมื่อเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น ภูมิคุ้มกันไม่ทำลายเซลล์มะเร็งเพราะคิดว่าเป็นเซลล์กลุ่มเดียวกัน เราจึงศึกษาคุณสมบัติพิเศษของเซลล์มะเร็งที่ต่างจากเซลล์ธรรมดา ก็พบว่าผิวของเซลล์มะเร็งมีโปรตีนจำเพาะ ซึ่งคนไข้แต่ละคนมีโปรตีนจำเพาะนี้แตกต่างกันไป"
รศ.นพ.กฤษณ์ อธิบายขั้นตอนการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดว่า
"เรานำเซลล์ภูมิคุ้มกันที่อ่อนที่สุดของร่างกายคนไข้มะเร็งเต้านมมาเลี้ยงในห้องปฏิบัติการให้เจริญเติบโตคู่กับโปรตีนจำเพาะ (Peptide) ของมะเร็งเต้านมแต่ละคน ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เซลล์ภูมิคุ้มกันจะเรียนรู้และจดจำโปรตีนจำเพาะของเซลล์มะเร็งได้ จากนั้น เราก็จะฉีดเซลล์ภูมิคุ้มกัน (ที่เรียนรู้แล้ว) เข้าไปที่ต่อมน้ำเหลืองของคนไข้ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันขยายตัวไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง"
ภูมิคุ้มกันบำบัดกับอนาคตการรักษามะเร็ง
หลังจากรักษาคนไข้รายแรกสำเร็จ ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถเพื่อมะเร็งเต้านม ได้นำระบบภูมิคุ้มกันบำบัดมาช่วยรักษาคนไข้มะเร็งเต้านมรายอื่นๆ โดยคาดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลง 1 ใน 3 จากค่าใช้จ่ายของคนไข้รายแรก ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดด้วย
"ในฐานะผู้ที่รักษามะเร็งเต้านมมามากว่า 50 ปี ณ เวลานี้เทียบกับเมื่อก่อนต่างกันมาก การรักษามะเร็ง ถ้าเจอในระยะต้นๆ รักษาอย่างถูกวิธี และมีระบบภูมิคุ้มกันบำบัดเข้ามาช่วย โอกาสที่จะรักษาหายมีสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์"
"สำหรับผู้ที่รักษาหายแล้ว มะเร็งจะกลับมาอีกหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้ ผมตอบได้แต่ว่าระบบภูมิคุ้มกันนี้จะยังอยู่ในร่างกายของเราตลอดไป ถ้ามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นมาใหม่ ผมคาดว่าระบบภูมิคุ้มกันจะมีเพียงพอที่จะไปจัดการกับเซลล์มะเร็งได้"
ที่สำคัญ รศ.นพ.กฤษณ์ กล่าวว่า ระบบภูมิคุ้มกันสามารถไปได้ทุกจุดในร่างกาย รวมถึงสมอง ซึ่งการรักษาด้วยเคมีบำบัดทำไม่ได้
"อย่าหมดหวัง ผมอยากให้คนป่วยทุกคนมีความหวัง" รศ.นพ.กฤษณ์ ฝากทิ้งท้า