ส่งออก ก.ค. ยังขยายตัวสูงเทียบกับปีก่อนจากฐานต่ำ แต่มีสัญญาณแรงส่งที่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า จากผลของการระบาด COVID-19 ที่กระทบต่อทั้งอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า และอุปทานจากการปิดโรงงานบางส่วน ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการส่งออกในระยะถัดไป
ส่งออก ก.ค. ยังขยายตัวสูงเทียบกับปีก่อนจากฐมูลค่าการส่งออกเดือน ก.ค. ยังขยายตัวในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 20.3%YOY เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำ โดยขยายตัวในเกือบทุกหมวดสินค้าและตลาด แต่เริ่มมีสัญญาณแรงส่งที่ชะลอลง จากผลของการระบาด COVID-19 ทั่วโลก สะท้อนจากการส่งออกที่หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาลที่ -1.1%MoM_sa ซึ่งเป็นการหดตัว (แบบ %MoM_sa) ในหลายตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 ค่อนข้างมากอย่างตลาดอาเซียน (อาเซียน 5 และ CLMV) รวมไปถึงสหรัฐฯ และยุโรป
สำหรับการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี ต้องติดตามความเสี่ยงด้านอุปทานที่เริ่มส่งสัญญาณผลกระทบเช่นเดียวกัน สะท้อนจากจำนวนโรงงานในประเทศที่ต้องปิดตัวชั่วคราวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงความเสี่ยงจากปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะห่วงโซ่การผลิตระหว่างไทยและประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอาเซียน สะท้อนจากดัชนี Manufacturing PMI ของประเทศกลุ่มดังกล่าวที่ปรับลดลงชัดเจนในช่วงหลัง
ทั้งนี้การชะลอตัวของภาคส่งออกที่เกิดขึ้น ยังคงสอดคล้องกับประมาณการส่งออกของ EIC ที่เคยมองไว้ว่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีจะชะลอความร้อนแรงจากช่วงครึ่งปีแรก จากปัจจัยฐานที่จะเริ่มปรับสูงขึ้นในช่วงปลายปีก่อน รวมถึงปัญหาผลกระทบการระบาดรอบล่าสุดทั่วโลกที่ยังเป็นปัจจัยกดดันภาคส่งออกในช่วงที่เหลือของปี จึงยังคงคาดการณ์ส่งออกปี 2021 ที่ 15.0%
มูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคม 2021 ขยายตัว 20.3%YOY ขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนที่ 43.8%YOY โดยหากหักทองคำการส่งออกจะขยายตัวถึง 28.6%YOY ทำให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2021 มูลค่าการส่งออกขยายตัวที่ 16.2%YOY และหากไม่รวมทองคำการส่งออกจะเติบโตถึง 23.3%YOY
ด้านการส่งออกรายสินค้าพบว่าการส่งออกสินค้ายังขยายตัวต่อเนื่องในทุกกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่
ด้านการส่งออกรายตลาด พบว่าการส่งออกขยายตัวเกือบทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะอินเดียและจีน ยกเว้นเพียงออสเตรเลียที่หดตัว
ด้านมูลค่านำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2021 ขยายตัว 45.9%YOY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 53.8%YOY เล็กน้อย โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สอดคล้องกับการส่งออกที่ขยายตัว โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (74.4%YOY) ที่ขยายตัวจากทั้งฐานต่ำและราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน, สินค้าทุน (35.4%YOY), สินค้าอุปโภคบริโภค (17%YOY) และยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (75.4%YOY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปขยายตัวเช่นกันที่ 51.5%YOY แต่หากหักทองคำจะเหลือขยายตัวที่ 50.1%YOY ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2021 การนำเข้าขยายตัวที่ 28.7%YOY ทำให้ดุลการค้าในช่วง 7 เดือนแรกเกินดุลที่ 2,622.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออกเดือนกรกฎาคมเริ่มมีสัญญาณชะลอลง จากผลของการระบาด COVID-19 ทั่วโลก โดยแม้การเติบโตแบบ %YOY จะขยายตัวสูงจากปัจจัยฐานต่ำ แต่หากเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบหักผลทางฤดูกาล พบว่าจะหดตัวที่ -1.1%MoM_sa ซึ่งเป็นการหดตัวในหลายตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดที่โดนผลกระทบ COVID-19 ค่อนข้างมากอย่างตลาดอาเซียน (อาเซียน 5 และ CLMV) รวมไปถึงสหรัฐฯ และยุโรป สะท้อนว่าภาวะการส่งออกของไทยเริ่มได้รับผลกระทบด้านอุปสงค์จากการระบาดรอบล่าสุดแล้ว
นอกจากนี้ การส่งออกในระยะต่อไปยังต้องติดตามความเสี่ยงด้านอุปทานที่เริ่มส่งสัญญาณผลกระทบเช่นเดียวกัน สะท้อนจากจำนวนโรงงานที่ต้องปิดตัวชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาจากการติดเชื้อในโรงงานที่ปรับเพิ่มมากขึ้น โดยหากการระบาดในประเทศยังคงรุนแรงและทำให้โรงงานต้องปิดตัวมากหรือนานขึ้น ก็จะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการผลิตเพื่อส่งออกในระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังรวมถึงปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยและประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอาเซียน สะท้อนจากดัชนี Manufacturing PMI ของประเทศกลุ่มดังกล่าวที่ปรับลดลงชัดเจนในช่วงหลัง
ในส่วนของปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่อง โดยล่าสุดทางการจีนต้องสั่งปิดท่าเรือหนิงโป-โจวซานในเซี่ยงไฮ้บางส่วนชั่วคราว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2021 หลังจากที่พบพนักงานติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าจำนวน 1 ราย โดยการปิดท่าเรือหนิงโป-โจวซาน ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีปริมาณการขนส่งสินค้ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกนั้น ส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ได้ปรับตัวแย่ลง และทำให้ราคาระวางเรือ (Freight) และระยะเวลาการขนส่งสินค้าปรับสูงขึ้นเพิ่มเติม นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนชิปได้ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม อย่างเช่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ล่าสุดทางโตโยต้าได้ประกาศว่าจะลดการผลิตลง 40% ในช่วงเดือนกันยายนทั่วโลก เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนชิป ซึ่งอาจกระทบต่อยอดส่งออกยานยนต์ของไทยในช่วงไตรมาส 4 ได้
โดยสรุป การชะลอตัวของภาคส่งออกที่เกิดขึ้น ยังสอดคล้องกับประมาณการส่งออกของ EIC ที่เคยมองไว้ว่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีจะชะลอความร้อนแรงลงจากช่วงครึ่งปีแรก จากปัจจัยฐานที่จะเริ่มปรับสูงขึ้นในช่วงปลายปีก่อน รวมถึงปัญหาผลกระทบการระบาดรอบล่าสุดทั่วโลกที่ยังเป็นปัจจัยกดดันภาคส่งออกในช่วงที่เหลือของปี จึงยังคงคาดการณ์ส่งออกปี 2021 ที่ 15.0% โดยต้องจับตาความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของการระบาด COVID-19 รอบล่าสุด ที่กระทบทั้งด้านอุปสงค์ (ภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก) และด้านอุปทาน (การปิดโรงงานในประเทศ และปัญหา supply chain disruption ที่อาจเกิดขึ้น)
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit