นพ. อัษฎา ตียพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เปิดเผยว่า โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชาก่อตั้งเมื่อปี 2536 และครบ 28 ปีในปีนี้ เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในภาคตะวันออกที่ได้รับมาตราฐานสากล JCI พร้อมเดินหน้าเพื่อให้บริการดูแลสุขภาพ ทั้งการรักษาและการป้องกันเชิงรุกก่อนที่จะเกิดโรค ด้วยใจและความเชี่ยวชาญของทีมบุคคลากรทางการแพทย์มากกว่า 1,000 คน พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครือข่ายที่แข้มแข็งของโรงพยาบาลสมิติเวช เพื่อให้ผู้รับบริการ บริษัทประกันชีวิต และบริษัทคู่สัญญาได้รับความพึงพอใจสูงสุดภายใต้นโยบาย 'เราไม่อยากให้ใครป่วย' โดยจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้รับบริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดในภาคตะวันออกมีสุขภาพที่แข็งแรง ล่าสุดโรงพยาบาลฯ ได้จัดแคมเปญพิเศษ '28 ปี สมิติเวช ศรีราชา สุขภาพดี ไปด้วยกัน' เพื่อเสริมสร้างให้ผู้รับบริการในพื้นที่ภาคตะวันออกสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในช่วงเวลาที่เราทุกคนต่างตระหนักดีว่า สุขภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
"ในช่วงที่ไทยต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 โรงพยาบาลฯ ได้ร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ด้วยการพัฒนาบริการ COVID Drive Thru เพื่อตรวจเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนได้ทราบผลอย่างรวดเร็ว โดยแยกจุดตรวจออกจากอาคารโรงพยาบาล รวมถึงจัดตั้งคลินิกระบบทางเดินหายใจและหอผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจเพื่อดูแลผู้ป่วย และเมื่อโรงพยาบาลฯ ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากภาครัฐก็ได้ช่วยดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 10,000 เข็ม นอกจากนี้ ยังพร้อมเป็นศูนย์กลางในการให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือกร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์รวมถึงวัคซีนอื่นๆ ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. ด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทย ที่ถือเป็นหนึ่งในเมืองหลักทางเศรษฐกิจทั้งด้านอุตสาหกรรม การส่งออกและการท่องเที่ยวอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดหลักที่จะช่วยฟื้นคืนสภาพคล่องทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้านการส่งเสริมสุขภาพที่แข็งแกร่งในชุมชนท้องถิ่นก็ถือเป็นภารกิจหลักของเราเช่นกัน โดยโรงพยาบาลฯ ได้ทำหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ในเขตอำเภอศรีราชาและจังหวัดชลบุรี โดยให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และตรวจสุขภาพต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แด่พระสงฆ์ 288 รูปอีกด้วย" นพ. อัษฎา ตียพันธ์ กล่าวเสริม
"สมิติเวช ศรีราชา เน้นนโยบายป้องกันสุขภาพเชิงรุกให้แก่ผู้คนในพื้นที่ รวมถึงผู้ประกอบการทั้งภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)" นพ. อัษฎา กล่าวถึงความพร้อมด้านศักยภาพบริการ "รายได้จากการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักของ GDP ประเทศ และชลบุรีถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งกลุ่มชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยในปี 2564 ชลบุรีได้ตั้งเป้าที่สู่การเป็น Sport City และได้ดำเนินการจนเกิดเป็นรูปธรรมและมีการจัดโปรแกรมการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ซึ่ง สมิติเวช ศรีราชา ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันโปรแกรมสำคัญมาแล้วมากมาย"
ทั้งนี้ วิกฤติโควิด-19 ทำให้สมิติเวช ศรีราชาพัฒนาระบบ Telemedicine ขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกด้านการดูแลสุขภาพให้แก่คนในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก "เพื่อให้คนไข้ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาลจึงได้พัฒนาบริการดังกล่าวขึ้น และพร้อมขยายบริการดังกล่าวสู่กลุ่มผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย โดยโรงพยาบาลจะให้ความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อช่วยดูแลด้านสุขภาพของคนในพื้นที่ อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้าง GDP ของประเทศให้กลับมา และพร้อมเป็นหนึ่งในกำลังหลักเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Medical Hub เราพร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยต่างชาติที่ต้องการการรักษา เรามีโรงพยาบาลญี่ปุ่นอยู่ภายในโรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชาเพื่อรองรับชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในเขตภาคตะวันออก ด้วยคุณภาพและมาตรฐานสูงเทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น ทำให้พี่น้องชาวญี่ปุ่นคลายความวิตกกังวลในเรื่องสุขภาพไปได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เรายังมีฝ่ายต่างประเทศคอยบริการผู้ป่วยต่างชาติทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจได้ตลอดการทำงานหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย" นพ. อัษฎา กล่าวสรุป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit