นางณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้จ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 3 กองทุน และกองทุน Super Savings (ชนิดเพื่อการออม) จำนวน 2 กองทุน รวมมูลค่ากว่า 358 ล้าน ให้กับผู้ถือหน่วยพร้อมกันในวันที่ 22 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ประกอบด้วยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 - วันที่ 31 ธันวาคม 2563 และกำไรสะสม จ่ายปันผลในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย นับเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 17 รวมจ่ายปันผลจำนวน 3.3200 บาทต่อหน่วย
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) ในอัตรา 0.2100 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 26 รวมจ่ายปันผลจำนวน 5.6850 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ในอัตรา 0.1400 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 20 รวมจ่ายเงินปันผลจำนวน 4.6400 บาทต่อหน่วย งวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 - วันที่ 31 ธันวาคม 2563
สำหรับกองทุน Super Savings (ชนิดเพื่อการออม) งวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 - วันที่ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส (ชนิดเพื่อการออม) (SCBLT2-SSF) จ่ายปันผลครั้งแรกในอัตรา 0.0750 บาทต่อหน่วย ลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี มีความมั่นคงสูง และมีการกระจายการลงทุนในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม เน้นการลงทุนหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา
และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว (ชนิดเพื่อการออม) (SCBLT3-SSF) จ่ายปันผลครั้งแรกในอัตรา 0.0900 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูง เน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุน SSF ทั้ง 2 กองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย และต้องการลงทุนในรูปแบบกองทุน LTF เดิม
ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มองภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว 1-2 ปีขึ้นไป จากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคระบาด Covid-19 ที่คาดว่าประชาชนภายในประเทศจะเริ่มได้ฉีดในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจากต่างชาติและการส่งออก ดังนั้น เมื่อมีความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนชาวไทยและทั่วโลก ประเทศไทยจะได้รับผลบวกในระดับที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และส่งผลให้หุ้นไทยกลับมาเติบโตสูงได้อีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดการดึงดูดจากนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาสนใจหุ้นไทยอีกครั้งด้วยเช่นกัน
"ถึงแม้ว่า ผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศถูกระงับไปบางส่วนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นชะลอตัวไปบ้างในระดับ 1 - 3 เดือน ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในระยะสั้น ซึ่งถือเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นไทยเพื่อรอจังหวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าในปี 2565 กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ของประเทศจะเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับระดับก่อนที่จะมีโรคระบาด Covid-19 ดังนั้น การลงทุนด้วยเป้าหมายระยะยาวจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งกองทุน SSF และ RMF ที่จะช่วยสร้างวินัยในการออมระยะยาวให้กับนักลงทุน เพราะนอกจากจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีแล้ว การถือครองยาวจะช่วยลดโอกาสการขาดทุนเมื่อครบกำหนดด้วย รวมถึงการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผลตอบแทนในระยะยาวมีเสถียรภาพมากขึ้นเช่นกัน" นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว
ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF/SSF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการ ได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6 หรือผู้สนับสนุนการขายทุกราย หรือ https://scbam.link/tax-ssf สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน SCBAM Fund Click ได้ที่ https://scbam.link/scbam_fund_click
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit