ในช่วงขึ้นปีใหม่ ขึ้นศักราชใหม่ ผู้คนต่างคาดหวังว่าในปีใหม่ อะไรๆ จะดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่หากที่หวังไว้ไม่เป็นดั่งตั้งใจ ทำให้หลายคนเกิดท้อถอย รู้สึกสิ้นหวัง หมดหวัง พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร จึงได้ชี้แนะแนวทางการใช้ชีวิตให้สมดุล มีความสุข และสมปรารถนาในสิ่งที่หวัง บนเวทีธรรมบรรยาย เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ โดย บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ณ ห้อง 1111AB อาคาร ซี.พี. ทาวเวอร์ ถนนสีลม ในหัวข้อ "ธรรมดีปีใหม่"
พระพรหมบัณฑิต เกริ่นให้ฟังว่า "พอถึงปีใหม่การเฉลิมฉลองทำให้เราเกิดความหวัง และมองโลกนี้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อคาดหวังว่าปีนี้จะเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อไม่เป็นแบบที่หวังเลยหมดหวัง ท้อใจ จิตใจแกว่งไปมาเหมือนดังลูกตุ้มนาฬิกา คือ มีหวังด้านหนึ่ง และสิ้นหวังอีกด้านหนึ่ง ถ้าจะให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ต้องตั้งสติมองโลกในมุมมองใหม่ ธรรมะจะช่วยให้เราตาสว่างขึ้น ใจจะสงบลง เพราะไม่ได้มองโลกอย่างสุดโต่ง สุดโต่งในที่นี้คือ หวังว่าจะดีอย่างเดียว ไม่ได้มองว่าจะมีปัญหา มองโลกในแง่ดีเกินไป หรือมองอีกด้านหนึ่ง มีปัญหามาก มีแต่โรค มีแต่ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาจำกัดการเคลื่อนไหว หรือมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แล้วเราจะอยู่อย่างไรให้พอดี"
ที่ผ่านมาเมื่อเกิดโรคระบาดเราช่วยกันระงับยับยั้งจนถึงจุดที่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวก แล้ววันหนึ่งก็คุมไม่อยู่ทำให้มาสู่สถานการณ์โควิด - 19 ในปัจจุบัน หลายคนเลยเสียใจกับอดีต โทษสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วแต่จะคิดกันไป อดีตเป็นบทเรียนทำให้เรามองว่าจะไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร และเราจะทำให้กลับไปสู่สถานะที่ดีได้อย่างไร ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแต่เราต้องมองสองด้าน สนุกเกินไป บันทิงเกินไป ประมาท ที่เคยปลอดภัยก็เกิดรูรั่ว รูรั่วที่ว่าในทางศาสนาคือ อบายมุข ทางแห่งความเสื่อม นาวาชีวิตของเรา หรือเรือ ถ้ามีรูรั่วเมื่อใดก็จบ รูรั่วมี 6 จุดด้วยกัน เหมือนผี 6 ตัว คือ ผีหนึ่ง ชอบดื่มสุราเป็นอาจิณ ไม่ชอบกินข้าวปลาเป็นอาหาร ผีสอง ชอบท่องเที่ยวยามวิกาล ไม่รักลูกรักบ้านของตน ผีสาม ชอบเที่ยวดูการละเล่น ไม่ละเว้นบาร์คลับ ละครโขน ผีสี่ ชอบคบคนชั่วมั่วกับโจร หนีไม่พ้นอาญา ตราแผ่นดิน ผีห้า ชอบเล่นม้ากีฬาบัตรสารพัดไพ่ หวยถั่วโปว์ไฮโลสิ้น ผีหก ชอบเกียจการหากิน มีทั้งสิ้นหกผีอัปรีย์เอย ต้องไล่ผีทั้ง 6 อย่าให้มาสิงเราจะปลอดภัย
ท่านเจ้าคุณบอกว่า การมองสุดโต่งมีสองแบบอย่างลูกตุ้มนาฬิกา คือ สุทรรศนนิยม มีแต่ความฝันมีแต่ความหวังไม่มองปัญหา ก็สนุกสนานจนลืมระวังเกิดประมาท นึกว่าจะไม่เป็น นี่คือสุดโต่งด้านหนึ่ง และทุทรรศนนิยม คือ สุดโต่งอีกด้านนึงมองแต่ปัญหา ไม่ได้เป็นโควิดแต่จะเป็นประสาทเพราะโควิด ธุรกิจก็หยุดเพราะกลัวมัน กลุ่มแรกไม่หยุดเพราะสนุกสนานบันเทิง หรือไม่มีลิมิต กลุ่มที่สองมองโลกแต่แง่ร้ายก็ไม่ยอมทำอะไรเลย
ท่านได้ยกตัวอย่าง มีเด็กสามคนแม่ให้ขวดเปล่าพร้อมเงินคนละ 100 บาท ไปซื้อน้ำมันเติมมาให้เต็มขวด ระหว่างทางเด็กทั้งสามคนถือขวดน้ำแกว่งเล่นบ้าง โยนเล่นบ้างจนขวดน้ำมันนั้นตกจนหกเหลือน้ำมันคนละครึ่งขวด เด็กคนแรกกลับมาสารภาพกับแม่ว่า ทำน้ำมันหกไปครึ่งขวด แม่ไม่ว่าอะไร เด็กคนที่สองกลับมาสารภาพกับแม่ว่าทำน้ำมันหกเหลือตั้งครึ่งขวด แม่ก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเด็กคนที่สาม กลับมาสารภาพกับแม่ว่าทำน้ำมันหกไป เหลืออีกครึ่งขวดและจะรับผิดชอบด้วยการซื้อมาเติมให้เต็มคืนแม่ เด็กทั้งสามคนนี้คนแรกมองในแง่ร้ายหรือสุทรรศนนิยม คนที่สองมองในแง่ดีคือทุทีศนนิยม ส่วนเด็กคนที่สามมองโลกตามความเป็นจริงหรือสัจนิยม พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่ง แต่คนมักเข้าใจผิดเพราะมองอริยสัจ 4 ไม่ครบ พอเห็นข้อทุกข์ สมุทัย เห็นปัญหา เห็นเหตุปัญหา ก็มองว่าสอนให้เห็นแต่ปัญหา มองโลกแง่ร้ายพอไปเห็นนิโรธ เห็นมรรค ดับปัญหา สารพัดวิธีดับปัญหา ก็มองแค่สองข้อท้าย เห็นแต่แง่ดี แต่พระพุทธเจ้ามองอริยสัจ 4 มองโลกตามความเป็นจริง ยอมรับว่ามีปัญหา และอยู่กับปัญหา ถ้าแก้ไม่ได้ ตระหนักรู้ว่าเราเป็น ทุกข์คือกำหนดรู้ สมุทัยคือหาสาเหตุ นิโรธคือเก็งว่ารักษาได้ไหม มรรคคืออวิธีการรักษารักษาอย่างไร มันก็จะกลายเป็นอริยสัจ 4
พระพรหมบัณฑิตได้ยกตัวอย่างสารคดีสัตว์โลก ฝูงกวางมากินหญ้าโดยที่มีฝูงสิงโตซุ่มดูอยู่ไม่ไกล กวางก็กินหญ้าไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีสิงโตซุ่มดูอยู่ เพราะกวางรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันจะหนีได้ทัน แต่หากสิงโตเริ่มขยับเข้ามาใกล้กวางจึงเริ่มเครียดและวิ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อวิ่งพ้นก็คลายความเครียดลง แต่มนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น พอผ่านอะไรมาก็มักมีความเครียดตามหลัง ความเครียดสะสมเพราะมองแต่ปัญหา ไม่ดูทางออก ไม่รอบด้าน มองโลกตามจริง ท่านเปรียบเป็นคนกลัวกินปปลาเพราะกลัวก้างติดคอ หรือมองแต่เนื้อปลากินไปไม่ระวังก้างก็ติดคอ ถ้ามองโลกตามจริงก็คือท่านปลาโดยระวังก้างปลา ดำเนินธุรกิจโดยระวังการระบาดของโรค ไม่ใช่ไม่จับเจ่า ไม่ทำอะไร จะต้องมีความสมดุล คือ เรารับปีใหม่ด้วยความหวังแต่ก็ไม่ลืมปัญหา
ปีใหม่เราก็ตั้งความหวังว่าจะสำเร็จเรื่องอะไรบ้าง ปีใหม่เราอธิษฐานจิต อยากให้เกิดอะไรบ้าง หรืออยากขจัดอะไรออกไปบ้าง เราอยากมีสุขภาพดี เราอธิษฐาน มองเป็นเป้าหมายไว้ บรรลุให้ถึง ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า วายเมเถว ปุริโส ยาว อุตฺถสฺส นิปฺปทา เกิดเป็นคนต้องพยายามร่ำไป จนกว่าจะได้สิ่งที่ตั้งความหวังปรารถนาเอาไว้ เราต้องไม่ลืมหน้าที่ไม่ลืมเป้าหมายถึงแม้ว่ายาก เป้าหมายที่เราตั้งจิตต้องมีไว้เพื่อให้การกระทำต่อเนื่องยั่งยืน ตั้งความหวังไว้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ทำอย่างอื่นที่มีความสุขไปด้วย รักษาหน้าที่ไปด้วย
สำหรับผู้สนใจร่วมฟังธรรมบรรยายดี ๆ ในโครงการ "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ติดตามรับชมผ่านระบบ live สด ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. ทางช่องทาง facebook fanpage CPALL และสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit